ย้อนเวลา ผ่อเมืองน่าน สัมผัสลมหายใจและกลิ่นอายของคุ้มหลวง

ในความปกติเยี่ยงคนเดินทาง อาการราวเด็กน้อยได้ขนมหวานมักจะเกิดขึ้นกับผมเสมอ เมื่อยามที่พลัดหลงไปในดินแดน ที่มีมนต์ขลังและครอบงำด้วยเสน่ห์แห่งธรรมชาติ การเดินทางผ่านบ้านเรือน ภูเขา แม่น้ำ ทั้งในฐานะของนักเดินทาง ผู้สัญจรผ่านทาง คนทำสารคดีและอื่นๆ อีกประปราย ทำให้ผมได้ซึมซาบกับ วิถีชีวิตและกลิ่นไอความเป็นเมืองล้านนาอย่างสุดหัวใจ ใช่แล้วผมกำลังพูดถึงเมืองน่าน จังหวัดเล็กๆ ทางตะวันออกสุดของภาคเหนือ ที่มีอาณาเขตติดกับประ เทศลาว ที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะไปเยือน
เมืองเล็กๆ ที่ชื่อเมืองน่านนั้น ซุกซ่อนตัวเองในท่ามกลาง เทือกเขาผีปันน้ำและหลวงพระบาง บ่มเพาะเก็บงำเรื่องราว วัฒนธรรมประเพณีอันเป็นรากเหง้าของตัวเองได้สมบูรณ์แบบ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีที่ใดเหมือน ด้วยความที่เมืองน่าน ถูกโอบล้อมด้วยเทือกเขานี่เอง ทำให้มีลำน้ำอยู่มาก มายก่อให้เกิดแม่น้ำหลายสาย ทั้งยังมีประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของผู้คนล้านนาอันอุดมสมบูรณ์ไม่แพ้กัน
เมืองน่าน เป็นนครรัฐตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่ 18 ยุคเดียวกับนครรัฐอื่น ๆ ในล้านนา พญาภูคา ได้ขยายอาณาเขตโดยส่งราชบุตรคือ ขุนนุ่นและขุนฟองไปสร้างเมืองขึ้นใหม่ ขุนนุ่นผู้เป็นพี่ได้สร้างเมืองหลวงพระบาง ขุนฟองผู้น้องได้สร้างเมืองวรนคร (ปัว)
ปี พ.ศ.1825 สมัยพญาการเมืองปกครอง เมืองวรนครได้ขยายตัวมากขึ้นและมีความสัมพันธ์ กับอาณาจักรสุโขทัยอย่างใกล้ชิด พระมหาธรรมราชาลิไทได้ทูลเชิญพญาการเมือง ไปร่วมสร้างวัดหลวงอภัย ที่เมืองสุโขทัย หลังจากที่พญาการเมือง จะเสด็จกลับวรนคร พระมหาธรรมราชาลิไท ได้พระราชทานพระธาตุ 7 องค์ พระพิมพ์ทองคำ 20 องค์ และพระพิมพ์เงินให้กับพญาการ เมืองมาสักการะ
เมื่อเสด็จมาถึงเมืองน่าน พญาการเมืองได้เลือกชัยภูมิ บริเวณภูเพียงแช่แห้งเป็นที่สร้างพระธาตุเจดีย์ และย้ายผู้คนลงมาสร้างเมืองใหม่ ชื่อ ภูเพียงแช่แห้ง เมื่อปี พ.ศ.1902

กระทั่งถึงปี พ.ศ.1911 สมัยของพญาผากอง ราชบุตรของพญาการเมือง ได้โปรดให้ย้ายเมืองภูเพียงแช่แห้ง มายังฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่านในปัจจุบัน ด้วยเหตุว่าเมืองภูเพียงแช่แห้ง กันดารน้ำเพราะอยู่บนเนินสูงห่างแม่น้ำ
พญาผากองอพยพผู้คนมาตั้งเมืองที่ริมแม่น้ำน่านแล้ว จากนั้นมีเจ้าผู้ครองนครสืบต่อมากันหลายพระองค์ ปี พ.ศ.2360 น้ำน่านได้ไหลเข้าท่วมตัวเมือง พัดกำแพงเมืองทิศตะวันตกพังทลายลงทั้งแถบ นอกจากนั้นกระแสน้ำยังพัดบ้านเรือนชาวบ้านและวัดวาอารามเสียหายอีกเป็นจำนวนมาก พญาสุมนเทวราช เจ้าผู้ครองนครในสมัยนั้น จึงได้ย้ายเมืองไปอยู่เวียงเหนือเมื่อ พ.ศ.2362 กาลต่อมาแม่น้ำน่านได้เปลี่ยนเส้นทางห่างจากกำแพงเมืองไปมาก เจ้าอนันตวรฤทธิเดช จึงได้ย้ายเมืองมาอยู่ ณ สถานที่ตั้งปัจจุบันและบูรณะกำแพงเมืองจนแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2400
 เมืองน่านได้ชื่อว่าเป็นเมืองเจ็ดประตู หนึ่งหนอง สิบสองวัด ซึ่งคนน่านโบราณได้ผูกไว้คล้องจองกัน ตามทักษาเมืองน่าน กล่าวถึงการสร้างประตูเมืองในปี พ.ศ.2450 ว่ามีการสร้างประตูอมร และถนนมหายศ มาวัดสวนตาล สำหรับประตูเมืองน่านที่สำคัญได้แก่ ประตูชัย ทางทิศตะวันออก สำหรับเจ้านายเสด็จเมื่อน่าน ประตูน้ำเข้ม สำหรับให้ราษฏรติดต่อค้าขาย ทิศเหนือมีประตูริมและประตูอมร ทิศตะวันตกมี ประตูหนองห้าและประตูปล่องน้ำ เพื่อระบายไม่ให้ท่วมขังในเมือง ทิศใต้มีประตูเชียงใหม่ เพื่อออกไปสู่เมืองแพร่ และประตูท่าลี่ ซึ่งเป็นประตูที่นำศพออกไปเผานอกเมือง

ปัจจุบันเมื่อเดินทางไปเมืองน่าน ยังสามารถพบเห็นร่องรอยของประตูเมืองและกำแพงเมืองน่าน นอกจากนั้นน่านยังมีสถาปัตยกรรม ระดับคลาสสิกที่สร้างขึ้นเมื่อร้อยกว่าปี ได้รับการอนุรักษ์มาถึงปัจจุบัน ได้แก่ หอคำ หรือ คุ้มหลวง ซึ่งเป็นอาคารพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติน่าน สร้างขึ้น เมื่อ พ.ศ.2446 โดยเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช ซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้านครน่าน ลักษณะหอคำ เป็นอาคารทรงไทยผสมศิลปะตะวันตกแบบตรีมุข 2 ชั้น ตัวอาคารก่ออิฐฉาบด้วยปูน บานประตูหน้าต่างเป็นแบบบานเกล็ด อาคารหอคำเดิมมีบันไดไม้สักทั้งสองข้างของมุขหน้า แต่ถูกรื้อไปแล้ว
เมื่อเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่านองค์สุดท้าย ถึงแก่พิราลัยเมื่อ พ.ศ.2474 อาคารหอคำถูกใช้เป็น ศาลากลางจังหวัด ระหว่าง พ.ศ.2476-2517 หลังจากนั้น อาคารหอคำได้โอนให้กรมศิลปากรดูแล เพื่อจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ใกล้กับหอคำ เป็นที่ตั้งของคุ้มเจ้าราชบุตร ตั้งอยู่หัวมุมถนนผากอง ด้านทิศเหนือของ วัดพระธาตุช้างค้ำ คุ้มเจ้าราชบุตร สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2409 เพื่อเป็นที่อยู่ของเจ้าน้อยมหาพรหม ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็น เจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 64 จึงยกคุ้มให้เจ้าประพันธ์พงษ์ (เจ้าน้อยหมอกฟ้า ณ น่าน) และให้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าราชบุตร ลักษณะอาคารสร้างขึ้นจากไม้สักสองชั้น ระเบียงมีลวดลายฉลุ บริเวณห้องโถงของคุ้มตั้งแสดงอาวุธโบราณ เครื่องยศและภาพถ่ายสมัยเก่าที่หาชมได้ยาก
นอกจากนั้นในเมืองน่านยังพบ เรือนแถวไม้ ที่ถนนสุมนเทวราช ซึ่งเป็นย่านการค้าตั้ง แต่อดีต เป็นอาคารไม้ชั้นเดียว และสองชั้นมีระเบียงประดับลายฉลุ และยังใช้เป็นที่บังแดดบังฝน ให้หน้าร้านอีกด้วย ที่สี่แยกประตูน้ำเข้ม ระหว่างถนนสุมนเทวราช กับถนนมหาวงศ์ มีอาคารไม้รูปทรงหักเหลี่ยม เดิมเป็นห้องแถว ซึ่งเจ้าราชวงศ์สุทธิสาร ให้เช่า ต่อมาภายหลังได้ขายให้กับเอกชนไปแล้วเรื่องราวความมหัศจรรย์ของเมืองน่าน และกลิ่นไออารยธรรมไทลื้อ ยังคงไม่จางหายไปจากอดีต ผู้คนผ่านมาแล้วผ่านไป ทิ้งไว้แค่ความทรงจำแต่วัฒนธรรมของไทลื้อที่ถูกถ่ายทอดมานับร้อยปี จะยังคงอยู่สร้างสีสันให้กับเมืองน่าน อย่างไม่มีวันลบเลือน

ร่วมแสดงความคิดเห็น