กลิ่นอายของเมืองโบราณ “คะวะโกะเอะ” สวนสาธารณะแห่งแรกของโตเกียว (Ueno Park)

กลิ่นอายของเมืองโบราณ “คะวะโกะเอะ” สวนสาธารณะแห่งแรกของโตเกียว (Ueno Park) วันเวลาเปลี่ยนไป แต่ยุคสมัยไม่เปลี่ยนแปลง
เมืองโบราณในยุคสมัยเอะโดะของประเทศญี่ปุ่นที่ชื่อ คะวะโกะเอะ (Kawagoe) ได้รับฉายาว่าเป็น “เอะโดะเล็ก” (Little edo) หรือ (Koedo) ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดไซตามะ (Saitama) ห่างจากเมืองหลวงกรุงโตเกียวเพียง 30 นาที เมืองคะวะโกะเอะมีเสน่ห์แบบโบราณที่ยังคงสภาพอาคารบ้านเรือนแบบดั่งเดิมให้เราได้เห็นจนถึงทุกวันนี้

ในยุคสมัยเอะโดะ (Edo) เมืองแห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ในการส่งสินค้าทางเกษตร อันได้แก่ มันหวาน ไปให้เมืองเอะโดะ (โตเกียว) โดยทางเรือ ล่องแม่น้ำอะระคาว่า ซึ่งเป็นแม่น้ำสายแยกย่อยของแม่น้ำใหญ่ชินกะชิคาว่า รวมถึงยังได้รับวัฒนธรรมความครึกครื้นของเมืองเอะโดะเข้ามาตามสายน้ำอีกด้วย
ดังนั้นวัฒนธรรมเอะโดะอันได้แก่อาคารร้านรวงโบราณยังคงหลงเหลือข้ามเวลามาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสามารถพบเห็นได้ตามที่ต่าง ๆ ในคาวะโกเอะ นักท่องเที่ยวจำนวนมากจากทั้งในและนอกประเทศก็มาเที่ยวชมอาคารโบราณเหล่านี้ได้ในท้องถนนคุระซรึคุริ นอกจากนี้เอกลักษณ์ของที่นี่อีกอย่างคือมีวัดวาอารามศาลเจ้าตั้งเรียงรายอยู่มากมาย เช่น วัดคิตะอิน ซึ่งเป็นวัดที่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลโทกุกาว่าอย่างลึกซึ้ง
การเดินทางไปเที่ยวเมืองคะวะโกะเอะนั้น เริ่มต้นจากสถานีชินจูกุ (Shinjuku) ให้นั่งรถไฟสายเจอาร์ ไปลงที่สถานี อิเคะบุคุโระ (Ikebukuro) ใช้เวลาประมาณ 8 นาที จากนั้นต่อรถไฟสายโทบุ (Tobu Tojo Line) ไปลงที่สถานี คะวะโกะเอะ (Kawagoe) อีกประมาณ 26 นาที ราคาตั๋วเดินทาง 170 เยน เมื่อถึงสถานีคะวะโกะเอะ นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถบัสไปยังอิชิบันไก (Ichibangai) ซึ่งมีบริการรับนักท่องเที่ยวทุกวันตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็น โดยรถบัสจะออกทุก 10 – 15 นาที หรือจะเลือกเดินเที่ยวชมบรรยากาศของเมืองจากสถานีคะวะโกะเอะไปถึงอิชิบันไก ระยะทาง 2 กม.ใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาทีก็ได้

เมืองคะวะโกะเอะ ยังคงอนุรักษ์บ้านเรือนของคนญี่ปุ่นสมัยโบราณ ซึ่งสร้างด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่และบ่อยครั้งที่ถูกไฟไหม้ทำลาย ด้วยความที่กลัวว่าจะเกิดอัคคีภัยเผาผลาญทรัพย์สมบัติของมีค่าจนหมดสิ้นจึงได้มีการคิดค้นวิธีการใหม่โดยสร้างเป็นโกดังทำจากหินขึ้นมา โกดังที่ว่านี้ เรียกว่า คุระซรึคุริ (Kura-zukuri) สร้างขึ้นเพื่อเก็บของมีค่าอย่างมากในสมัยนั้น นั่นคือ “ข้าว” แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถมีโกดังได้ เพราะต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลในการก่อสร้างจึงมีเพียงเฉพาะพ่อค้าที่ร่ำรวยจากการค้าข้าวเท่านั้นที่มีสิทธิ์ ดังนั้นในสมัยเอะโดะ เมืองคะวะโกะเอะจึงเป็นเมืองการค้าที่มีความสำคัญมาก เพราะจะต้องจัดส่งลำเลียงข้าวรวมถึงวัตถุดิบอื่น ๆ ให้กับเมืองหลวงอย่างเอะโดะ (โตเกียว) ในปัจจุบัน และด้วยเหตุนี้เองทำให้พ่อค้าจากเมืองนี้ร่ำรวยมหาศาลจนสามารถสร้างโกดังเป็นของตัวเองได้ ในอดีตมีโกดังกว่า 200 หลังแต่ปัจจุบันหลงเหลือเพียงไม่กี่สิบหลังเท่านั้น

สัญลักษณ์ของเมืองคะวะโกะเอะ อีกแห่งหนึ่งได้แก่หอระฆัง (Bell of Time) หรือที่เรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า Toki no kane ตั้งอยู่บนถนนอิชิบันไก (Ichibangai) เป็นหอระฆังที่สร้างขึ้นตามคำสั่งของ Sakai Tadakatsu ระหว่าง ปีค.ศ.1624 และ 1644 โครงสร้างปัจจุบันนั้นสร้างขึ้นมาใหม่เมื่อ ปีค.ศ.1894 หนึ่งปีให้หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ของคะวะโกะเอะ เป็นอาคารสามชั้นสูง 16 เมตร หอระฆังนี้ทำหน้าที่บอกเวลามายาวนานกว่า 390 ปี และเป็นสัญลักษณ์ของเมือง จะสามารถได้ยินเสียงระฆังสี่ครั้งต่อวัน (เวลา 06:00, 12:00, 15:00, และ 18:00)

การเดินเที่ยวชมเมืองโบราณคะวะโกะเอะ ในย่าน คุระซรึคุริ อาจใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งวัน เพราะตลอดสองฝั่งถนนมีร้านรวงขายสินค้าที่น่าสนใจเกือบทุกร้าน ได้แก่ร้านขายขนมญี่ปุ่นโบราณ อุมอน (Umon) ทำจากมันบดผสมถั่วแดงซึ่งนำมาจากเกาะฮอกไกโด เป็นขนมโบราณที่ขึ้นชื่อของเมืองคะวะโกะเอะ
จากเมืองคะวะโกะเอะเพื่อไปเที่ยวชมสวนสาธารณะที่เก่าแก่ที่สุดของโตเกียว (Ueno Park) เดินทางโดยรถไฟสายโทบุ ถึงสถานีอิเคะบุคุโระ จากนั้นให้เปลี่ยนขึ้นรถไฟขบวนยามาโนเตะ (JR Yamanote Line) ไปลงที่สถานีอุเอะโนะ ก็จะเห็นสวนสาธารณะอุเอะโนะอยู่ตรงข้ามฝั่งถนน สวนสาธารณะอุเอะโนะ (Ueno Park) เป็นสวนสาธารณะเก่าแก่แห่งแรกของโตเกียว เปิดให้เข้าชมมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1873 ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในสถานที่พักผ่อนยอดนิยมของชาวโตเกียว เพราะมีพื้นที่ร่มรื่นกว้างขวาง ในช่วงประมาณต้นเดือนเมษายนของทุกปีภายในสวนอุเอะโนะจะจัดงานเทศกาลฮะนะมิ (Hanami) หรือเทศกาลชมดอกซากุระบาน ซึ่งภายในบริเวณสวนแห่งนี้มีต้นซากุระมากกว่าหนึ่งพันต้น นอกจากนั้นภายในสวนอุเอะโนะยังมีศาลเจ้าเก่าแก่ที่สำคัญ ได้แก่ ศาลเจ้าคิโยะมิซุคันนงโด (Kiyomizu kannon-do) สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1631 โดยจำลองแบบมาจากศาลเจ้าเก่าแก่คิโยะมิซุเดะระ (Kiyomizu-dera) ในเมืองเกียวโต แต่มีขนาดเล็กกว่าเท่านั้น ปัจจุบันศาลเจ้าคิโยะมิซุคันนงโดถือเป็นสมบัติของชาติและเป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่ของโตเกียว

ภายในบริเวณสวนอุเอะโนะ ยังมีศาลเจ้าโกะโจเท็นจิน (Gojo Tenjin Shrine) ศาลเจ้าโบราณอีกแห่งหนึ่งที่ชาวญี่ปุ่นนิยมเดินทางมาขอพรในช่วงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ เพื่อความเป็นสิริมงคลให้ตลอดปีพบแต่ความสุขและประสบความสำเร็จในทุก ๆ เรื่อง ศาลเจ้าโกะโจเท็นจิน เป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโต สร้างขึ้นระหว่างตอนกลางของศตวรรษที่ 15 เพื่ออุทิศแก่เทพเจ้าโกะโจเท็นจิน ผู้มีอำนาจในการรักษาโรคภัยต่าง ๆ ศาลเจ้าแห่งนี้สังเกตง่ายมาก เพราะประตูทางเข้าศาลเจ้าจะมาเสาโทะริอิสีแดงตั้งเรียงรายตามทางเดินเข้าสู่ศาลก่อนออกจากสวนสาธารณะอุเอะโนะ จะต้องไม่ลืมแวะไปคารวะอนุสาวรีย์ท่ายไซโง ทะกะโมะริ (Saigo Takamori) ซึ่งท่านเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นและเป็นคนที่ชาวญี่ปุ่นให้ความศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากปลายยุคเอะโดะ การปกครองโดยโชกุนของตระกูลโทะกุงะวะเสื่อมอำนาจลง ท่านไซโงจึงนำทัพล้มล้างระบอบขุนนางที่ยิ่งใหญ่ ก่อนอัญเชิญเจ้าชายมัตซึฮิโตะ (Mutsuhito) จากพระราชวังที่เกียวโตมายังเอะโดะแล้วสถาปนาให้เป็นสมเด็จพระจักรพรรดิและเริ่มศักราชใหม่ในสมัยเมจิ (Meiji) เมื่อปี ค.ศ.1868 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน

ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวนสาธารณะอุเอะโนะจะคราคร่ำไปด้วยผู้คนจากทั่วสารทิศเดินทางมาพักผ่อนที่สวนแห่งนี้ โดยในวันหยุดจะมีกิจกรรมต่าง ๆ ภายในสวนได้แก่การแสดงดนตรีกลางแจ้ง ,การออกร้านขายขนมหรืออาหารรถเข็น นอกจากนั้นยังมีการแสดงโชว์ต่าง ๆ อีกมากมาย จึงนับว่าสวนสาธารณะแห่งนี้เหมาะสำหรับการพักผ่อนในวันหยุดและสามารถเดินทางมาเที่ยวได้แบบไม่ยากเลย

จากสวนอุเอะโนะถ้าเดินข้ามฝั่งถนนจะเป็นแหล่งชอปปิ้งสินค้าปลอดภาษีขนาดใหญ่ ที่รู้จักในนาม “ถนนละลายทรัพย์” หรือย่านอะเมะโยะโกะ (Ameyoko Street) แหล่งชอปปิ้งชื่อดังของคนไทยที่มีร้านรวงกว่า 100 ร้าน ที่มาของถนนเส้นนี้ต้องย้อนกลับไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนนั้นนอกจากที่นี่จะเป็นตลาดมืดของทหารอเมริกันแล้ว ยังแวดล้อมไปด้วยร้านขายลูกกวาดและขนมหวานมากมาย เมื่อเวลาผ่านไปร้านค้าต่าง ๆ ได้พัฒนากลายเป็นแหล่งขายสินค้านานาชนิดที่ทุกคนนิยมมาจับจ่ายซื้อของกัน ร้านค้าบนถนนอะเมะโยะโกะมีทั้งร้านเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอางค์ ของเล่นของที่ระลึก ตลอดจนอาหารสดอาหารแห้ง ขนมนมเนยต่าง ๆ สารพัดมากมาย ย่านนี้นอกจากจะเป็นที่นิยมของชาวญี่ปุ่นมาเดินซื้อของแล้วยังเป็นย่านที่คนไทยก็นิยมมาหาซื้อของฝากเช่นเดียวกัน เพราะสินค้าในย่านนี้จะถูกกว่าที่อื่น บางร้านยังต่อราคาลงได้อีก 20-30%

ก่อนจากโตเกียวยังมีแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ที่นักท่องเที่ยวทั้งแบบไปทัวร์และไปเองนิยมไปเที่ยวได้แก่ วัดเซ็นโซจิ (Sensoji) หรือวัดเจ้าแม่กวนอิมแห่งอะซะกุซะ (Asakusa Kannon Temple) ซึ่งเป็นวัดทางศาสนาพุทธที่เก่าแก่ที่สุดในโตเกียว ความน่าสนใจของวัดเซ็นโซจินั้น เริ่มตั้งแต่ประตูทางเข้าคะมินะริมง หรือประตูสายฟ้า โดยประตูแห่งนี้สร้างขึ้นโดยไทระ โนะ คิงมะซะ (Taira no Kinmasa) ในปี ค.ศ.942 และได้สร้างขึ้นใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ.1649 ตามคำสั่งของท่านโชกุนโทะกุงะวะ อิเอะมิตสึ สัญลักษณ์อันโดดเด่นของประตูนี้คือโคมสีแดงขนาดใหญ่สูง 4 เมตร เมื่อเดินผ่านประตูนี้เข้าไปจะเป็นถนนนะกะมิเซะ (Nakamise Dori) สร้างขึ้นในยุคสมัยเอะโดะตลอดสองฟากของถนนเส้นนี้มีร้านค้าขายของที่ระลึกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นร้านขายพวงกุญแจ ,ตุ๊กตาแมวกวัก ,ดาบซามูไร รวมถึงชุดยูคะตะ ถนนนะกะมิเซะจึงเป็นถนนสายชอปปิ้งที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและต่างชาตินิยมมาหาซื้อของฝากเป็นจำนวนมาก

เมื่อเดินไปจนสุดถนนก็จะเจอกับประตูชั้นในโฮโซมง (Hozomon) หรือประตูแห่งขุมทรัพย์ ที่สร้างโดยไทระคนเดิมเมื่อปี ค.ศ.942 ส่วนด้านหลังของประตูเป็นที่ตั้งของตัววัดเซ็นโซจิ ภายในประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิม หรือที่ฝรั่งเรียกว่า “กวนยิน” เป็นเทพเจ้าแห่งความเมตตาปราณี ซึ่งชื่อ “กวนอิม” นี้เป็นชื่อเรียกสั้น ๆ มาจากคำว่า “กวนซื่อยิน” (Guanshi Yin) อันหมายถึง ผู้สดับฟังเสียงของโลก สำหรับในประเทศญี่ปุ่นนั้นจะเรียกเจ้าแม่กวนอิมว่า “คันนง” (Kannon)

ก่อนเดินทางกลับ อำลามหานครโตเกียว ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นแหล่งชอปปิ้งขนาดใหญ่ในย่านชินจุกุ ฮาราจุกุ ชิโบูยา แหล่งขายสินค้าอิเลคทรอนิคย่านอะกิฮะบะระ (Akihabara) รวมถึงตลาดปลาสึกิจิ (Tsukij Market)

การเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นแบบไม่ง้อไกด์ไปไม่ง้อทัวร์ แม้จะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 1 สัปดาห์ แต่ก็ทำให้ได้ประสบการณ์ชีวิตอันนับค่าประมาณไม่ได้ หากแต่ต้องใช้ความอดทน เวลาและการวางแผน เพื่อผจญกับอุปสรรคปัญหาของการเดินทาง แต่ทว่าอุปสรรคปัญหาที่แสนยากลำบากของการเดินทางเหล่านั้น กลับเล็กน้อยลงถนัดตา เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้มาคือมิตรภาพอันดีระหว่างการเดินทางต่างหาก เช่นนี้แล้วจะรอช้าทำไม รีบออกไปค้นหาโลก ค้นหาจุดหมายปลายทางของชีวิตด้วยการเดินทางท่องไปในโลกกว้างกันดีกว่า

บทความโดย
จักรพงษ์ คำบุญเรือง

ร่วมแสดงความคิดเห็น