รู้หรือไม่?? “มะแขว่น กับ หม่าล่า” คือพี่น้องที่พลัดพราก

ฮิตกันจนเหงื่อออกหัว!! ตอนนี้ถ้าถามว่าอาหารชนิดไหน กำลังเป็นที่นิยมที่สุดในแถบภาคเหนือ โดยเฉพาะเชียงใหม่ เชียงรายล่ะก็ต้องคิดถึง “หม่าล่า” อย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าจะไปตรงไหนช่วงยามเย็น ก็จะเจอคนเข้าคิวซื้อ หรือนั่งรับประทานกันจนล้นร้าน
คำว่า “หม่า” แปลว่า “ชา” ส่วนคำว่า “ล่า” แปลว่า “เผ็ด” ดังนั้น “หม่าล่า” จึงหมายถึงอาหารที่ทั้งเผ็ดทั้งชา หม่าล่าจริงๆ แล้วเป็นสูตรเครื่องเทศ ที่มาจากทางตอนใต้ของประเทศจีน ลักษณะเหมือนพริกป่นในไทยนี่แหละ แต่เขาจะใช้เครื่องเทศที่เรียกว่า “ฮวาเจียว” เป็นส่วนผสม ซึ่งเจ้าเครื่องเทศชนิดนี้เอง ที่ทำให้เกิดอาการชาในปากของเรา สำหรับชาวจีนแล้ว หม่าล่าสามารถนำไปกินกับทุกอย่างได้ ตั้งแต่ต้ม ผัด ย่าง โดยพวกเขานิยมรับประทานกับเนื้อแกะ เพราะหม่าล่าสามารถดับกลิ่นสาบของเนื้อแกะได้อย่างดีเยี่ยม
หม่าล่า เข้ามาขายในประเทศไทย โดยคาดว่าเริ่มเข้ามาทาง จ.เชียงราย แล้วค่อยๆ ฮิตมายัง จ.เชียง ใหม่ แต่เราส่วนใหญ่เน้นปิ้งย่างอย่างเดียวเท่านั้น และมีการนำเนื้อชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหมู ไก่ เนื้อวัว เครื่องใน หมึก มาย่างแล้วปรุงด้วยเครื่องหม่าล่า โดยมีสูตรการหมักเนื้อที่แตกต่างกันออกไป

ประโยชน์ของหมาล่า ที่จริงแล้วเป็นประโยชน์ของ “ฮวาเจียว” มากกว่า รสเผ็ดของฮวาเจียวช่วยขับลมในลำไส้ แก้หวัด แก้วิงเวียนศีรษะ บางคนนำมาต้มดื่มเป็นยาแก้ไข้ นอกจากนี้ยังช่วยขับระดูสำหรับสตรีอีกด้วย ส่วนตัวเม็ดฮวาเจียวเอง ถูกนำไปใช้เป็นส่วนประกอบของยาบำรุงหัวใจ และบำรุงเลือดในตำรับยาสมุนไพรของจีนมานานแล้ว
สำหรับคนไทยนั้น ก็มีสมุนไพรที่มีเชื้อสายเดียวกันกับฮวาเจียวด้วย นั่นคือ “มะแขว่น” เป็นเครื่องเทศของทางเหนือบ้านเรานี่เอง มีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ คล้ายพริกไทยดำเช่นเดียวกัน สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเหมือนกับการปรุงหมาล่า ทำเป็นซอสหมักเนื้อสัตว์ก่อนนำไปย่าง อบ ทอด หรือจะโปรยลงไปในอาหารจานผัด แกง หรือต้ม เพิ่มความเผ็ดร้อนให้กับอาหารจานนั้นได้ ใกล้เคียงกับหมาล่าเช่นเดียวกัน

ร่วมแสดงความคิดเห็น