พิพิธภัณฑ์และหอสมุด สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ วังวรดิศ

เช้าวันอาทิตย์ที่ 14 ต.ค. 61 หลายท่านมาเยี่ยมพิพิธภัณฑ์วังวรดิศ ด้วยอัธยาศัยไมตรีจิต และได้บันทึกภาพสวยๆ ส่งมาให้ ผมขออนุญาตนำมาแชร์
คุยกันในยามเช้าว่า… นึกถึงคำสอนของบรรพชน และครูอาจารย์ที่เคยสอนเรามาตั้งแต่เด็ก ล้วนเป็น ‘คำสอนชีวิต’ ที่ไม่เคยล้าสมัย ในทางตรงข้าม มีแต่นับวันจะทันสมัย ทันเหตุการณ์ มีความหมายที่เป็นจริงกับสภาพสังคม ประมวลความได้ว่า :เราเกิดมาทั้งที ต้องไม่เสียชาติเกิด ในเมื่อเป็นคน ไม่ใช่สรรพสิ่งอื่น คิดเป็น สุขุม และทำในสิ่งที่ถูกที่ควร เป็นประโยชน์สุขแก่ครอบครัวและสังคม …เกิดมาทั้งที ต้องไม่ทำชั่ว ไม่ทุจริตคดโกงใคร ไม่เอาเปรียบใคร ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่หลงลืมตัว ลุแก่อำนาจ ที่ทำให้ผู้คนเขาเกรงกลัวแต่เพียงต่อหน้า แต่ตามว่ากล่าวลับหลัง ซ้ำพลอยทำให้บุคคลที่คบหา มีแต่จะเสียผู้เสียคนตามไปด้วย เพราะลอกเลียนแบบสิ่งไม่ดีจากตนไป เป็นเวรเป็นกรรมอีกต่างหาก ที่ต้องมาพบเจอ แต่ถ้าไม่เชื่อเรื่องกรรม ก็ยังถือเป็นเวรกรรมของตนจนได้ คือ เวรกรรมที่ไม่เชื่อ …เกิดมาทั้งที อย่าเนรคุณคน จะตอบแทนบุญคุณใครก็ต้องเป็นเรื่องที่ชอบด้วยกฎหมาย ชอบด้วยจารีตประเพณี คำว่ากตัญญูรู้คุณกับการเป็นผู้ร้าย มันอยู่กันคนละฟากฝั่ง
…เกิดมาทั้งทีอย่าให้ร้ายใครหรืออิจฉาริษยาผู้ใด อย่าเล่นละครตบตา บรรพชนท่านถือ ท่านใช้คำว่าปราศจากความจริงใจ คือ การหลอกลวง เป็นภาพลวงตา เช่นนั้นป่วยการคบหาสมาคม ต่างคนต่างอยู่ สบายใจด้วยกันทุกฝ่ายทุกคน …เกิดมาทั้งทีต้องอ่อนน้อมถ่อมตนเป็น เป็นสุภาพชน สร้างความสุขความสบายใจแก่ผู้คบหา ไม่ใช่ให้ทุกข์แก่เขา ไม่วัดรอยเท้าผู้ใหญ่ คิดอะไรสุดโต่ง เพราะคนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้ว ตั้งแต่เรายังไม่เกิด ชีวิตใครๆ จะเป็นสุข เพิ่มพูนกำลังใจและมีความเพียร อายุมั่นขวัญยืน ฯลฯ
*เอกสารทางวิชาการ
พิพิธภัณฑ์และหอสมุดสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ วังวรดิศ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย

ร่วมแสดงความคิดเห็น