ตร.เปิดแถลง สาวมอมยาชิงทรัพย์ เจ้าตัวยังปฏิเสธไม่ได้ใช้ยามอมจนเสียชีวิต ขณะที่ตรวจประวัติลงมือก่อเหตุ มาแล้วหลายพื้นที่

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 20 พ.ย.61 ที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ พล.ต.ต.ชูรัตน์ ปานเหง้า รอง ผบช.ภ.5 พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ กก.สส.ภ.จ.เชียงใหม่ และเจ้าหน้าที่ บก.ปคม. ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมตัว MRS.LINDA WELLISH อายุ 54 ปี สัญชาติอินโดนิเซีย ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดี “ชิงทรัพย์ ,ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์โดยมิชอบ” จับกุมตัวผู้ต้องหาได้ที่ห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่ง ย่านถนนช้างคลาน ต.ช้างคลาน อ.เมือง จ.เชียงใหม่

โดยทาง พล.ต.ต.ชูรัตน์ ปานเหง้า รอง ผบช.ภ.5 เปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 20 ส.ค.61 ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้ง มีคนพบศพชายชาวต่างชาติเสียชีวิตภายในห้องพักของโรงแห่งหนึ่ง ย่านถนนช้างคลาน ตัวเมืองเชียงใหม่ จึงได้เข้าทำการตรวจสอบ ทราบชื่อคือ MR.AHMAD TARIO BHAT อายุ 45 ปี สัญชาติอินเดีย สภาพศพนอนเสียชีวิตบนเตียง มีน้ำลายฟูมปากและจากการตรวจสอบพบว่ามีทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตหายไป

ทางเจ้าหน้าที่จึงได้มีการสืบสวน ทราบจากพนักงานโรงแรมว่า ผู้ตายได้มากับผู้หญิงคนหนึ่ง และจากการตรวจสอบจากกล้องวงจรปิด ทราบตำหนิรูปพรรณของคนร้าย เป็นหญิงรูปร่างท้วม จึงได้ดำเนินการติดตามสืบสวน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 20 ส.ค.61 ที่ผ่านมา คนร้ายคนเดียวกันนี้ ได้ก่อเหตุด้วยการใช้สารเคมีบางชนิด ผสมเครื่องดื่มให้กับผู้เสียหาย ทำให้หมดสติ แล้วลักทรัพย์ จากนั้นได้นำบัตรเครดิตไปรูดซื้อแหวนเพชร ราคาประมาณ 400,000 บาท ในวันเดียว หลังจากนั้นก็ได้หลบหนีไป และเดินทางออกนอกประเทศ

จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 18 พ.ย.61 ผู้ต้องหาได้เดินทางกลับมายังประเทศไทย ทางด่านตรวจคนเข้าเมืองโป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ทางเจ้าหน้าที่เห็นรูปพรรณที่ตรงกันกับคนร้าย จึงได้ทำการควบคุมตัวไว้ได้ ก่อนประสานส่งตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีในพื้นที่เกิดเหตุ รอง ผบช.ภ.5 กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ จากการตรวจสอบประวัติของผู้ต้องหา พบว่าก่อนหน้านี้ยังได้เคยก่อเหตุมาแล้วถึง 3 ครั้ง โดยเมื่อวันที่ 24 มี.ค.60 ได้ก่อเหตุในพื้นที่ สภ.เมืองขอนแก่น ในข้อหา “ร่วมกันชิงทรัพย์ฯ” เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.61 ก่อเหตุในพื้นที่ สภ.เมืองอุดรธานี และเมื่อวันที่ 9 ก.ค.61 ก่อเหตุที่ สน.ลุมพินี โดยจากการตรวจสอบหลักฐานของทุกพื้นที่ พบว่าเป็นผู้ต้องหาคนเดียวกัน

อีกทั้งใช่วงระยะเวลาประมาณ 1 ปีครึ่ง พบว่าผู้ต้องหามีประวัติการเดินทาง เข้า-ออก ประเทศ ไม่ต่ำกว่า 30 ครั้ง อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวนผู้ต้องหาขณะนี้ ยังให้การรับสารภาพว่าได้ก่อเหตุชิงทรัพย์จริง แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ใช้ยามอมผู้เสียหายจนเสียชีวิต ในวันเกิดเหตุ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะต้องรอผลการตรวจชันสูตรทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัด ถึงสาเหตุการเสียชีวิตอีกครั้ง พร้อมทั้งจะได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาต่อไป

ร่วมแสดงความคิดเห็น