ไขมันทรานส์ ความเสี่ยงที่มากับอาหาร

ทุกคนรู้กันไหมทั่วไทยประกาศใช้ “กฎหมายไขมันทรานส์” แล้ว เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2562 ประเทศไทยประกาศใช้กฏหมายไขมันทรานส์อย่างจริงจังเป็นประเทศแรกในอาเซียน โดยบังคับใช้กฎหมายห้ามผลิต นำเข้า และจำหน่ายน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจน ที่เป็นแหล่งของไขมันทรานส์ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี และเพื่อลดจำนวนผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด

ไขมันทรานส์คืออะไร
ไขมันทรานส์ คือ ไขมันที่เกิดจากการนำไขมันจากพืช หรือไขมันไม่อิ่มตัวมาสังเคราะห์ขึ้น ผ่านวิธีการแปรรูปโดยกระบวนการเติมไฮโดรเจนในน้ำมันพืช ทำให้น้ำมันซึ่งเป็นของเหลวเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอยู่ในรูปของของแข็ง ซึ่งเราเรียกว่ากระบวนการนี้ไฮโดรจีเนชั่น และกลายเป็นไขมันอิ่มตัว อย่างเช่น เนยเทียม เนยขาว มาร์การีน ครีมเทียม

ไขมันทรานส์อันตรายยังไง
ปกติแล้วไขมันอิ่มตัวในอาหารที่เราทานเข้าไป จะไปเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) ในร่างกายอยู่แล้ว แต่ไขมันทรานส์ร้ายกาจกว่าไขมันอิ่มตัวเป็น 2 เท่า เพราะนอกจากจะเพิ่ม LDL แล้ว ยังไปลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) จึงเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูง ไขมันทรานส์นับเป็นไขมันวายร้าย เพราะไม่ว่าเราจะทำยังไงก็ไม่สามารถย่อยสลายไปได้ง่ายๆ

โรคที่มากับไขมันทรานส์
โรคร้ายที่จะเกิดขึ้นจากการกินไขมันทรานส์เข้าไป ได้แก่ โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันอุดตันในเส้นเลือดและหลอดเลือด อ้วนลงพุง ความจำเสื่อม อัลไซเมอร์ จอประสาทตาเสื่อม ถุงน้ำดีอักเสบ มีบุตรยาก เป็นต้น

อาหารที่มีไขมันทรานส์
ไขมันทรานส์ แฝงอยู่ในอาหารหลากหลายชนิด ทั้งของทอด เบเกอร์รี่ นมข้นหวาน นมข้นจืด ครีมเทียม น้ำมันพืช ขนมขบเคี้ยว พิซซ่า และป็อปคอร์น

ไขมันทรานส์หลีกเลี่ยงได้
ไขมันทรานส์หลีกเลี่ยงได้ อย่างการเลือกรับประทานอาหาร ที่มีเปอร์เซ็นต์ไขมันทรานส์เป็น 0 หรือน้อยกว่า 0.5 กรัม โดยการอ่านฉลากด้านหลังผลิตภัณฑ์ก่อนซื้อ หรือลดการทานอาหารจำพวกจังก์ฟู้ด และอาหารที่มีส่วนผสมของมาร์การีน เป็นต้น

ไม่มีไขมันทรานส์ ไม่ได้แปลว่าไขมันต่ำ เพราะไขมันทรานส์สามารถพบได้ในธรรมชาติ จากเนื้อสัตว์ประเภทเคี้ยวเอื้อง การห้ามนำไขมันทรานส์มาใช้ในการผลิตอาหาร เพื่อให้พวกเราลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายต่างๆ จากการบริโภคอาหารที่เป็นแหล่งหลักของไขมันทรานส์ ไม่รวมไขมันทรานส์ที่พบอยู่ในธรรมชาติ และการงดใช้ไขมันทรานส์เพื่อให้พวกเราตระหนักในการรับประทานอาหารในอนาคต

ร่วมแสดงความคิดเห็น