“น้ำผึ้ง” เป็นน้ำหวานที่ผลิตจากธรรมชาติ โดยดอกไม้พืชพันธุ์ต่างๆ น้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำตาลประมาณ 70-80% อีก 20-30% ที่เหลือเป็นน้ำ แร่ธาตุ กรด โปรตีนบางชนิด และสารชนิดอื่นๆ น้ำผึ้งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย และมีการใช้น้ำผึ้งช่วยรักษาโรคหลากหลายชนิดมาอย่างยาวนาน แต่ทราบกันไหมถึงแม้น้ำผึ้งจะมีประโยชน์มาก แต่ก็ใช่ว่าไม่ให้โทษ
วันนี้ “เชียงใหม่นิวส์” จะเล่าเรื่องคุณค่าและข้อควรระวังเมื่อใช้น้ำผึ้งให้ฟัง
คุณค่าทางโภชนาการของน้ำผึ้ง
น้ำผึ้ง เป็นอาหารกลุ่มให้พลังงานคาร์โบไฮเดรต เพราะมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก น้ำตาลกว่า 70% ในน้ำผึ้งเป็นน้ำตาลที่ย่อยง่าย ร่างกายดูซึมไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งมีสารต้านอนุมุลอิสระ ที่มีลักษณะเดียวกันกับที่พบในผักใบเขียว
สรรพคุณของน้ำผึ้ง
- น้ำผึ้งช่วยขับสารพิษตกค้างต่างๆ ออกจากร่างกาย
- น้ำผึ้งช่วยบรรเทาอาการไอแห้งๆ แบบไม่มีเสมหะ และอาการไอแบบเรื้อรัง
- น้ำผึ้งช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ดีในร่างกาย
- น้ำผึ้งช่วยฟื้นฟูกำลัง และให้ความสดชื่น หลังออกกำลังกายได้ดี
- น้ำผึ้งมีวิตมิน บีและซี และยังมีแร่ธาตุต่างๆ เช่น แคลเซียม เกลือแร่ ฟอสฟอรัส กรดอะมิโนที่จำเป็น
- น้ำผึ้งช่วยชะลอวัย ชะลอความเสื่อมของเซลล์ และช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน
- น้ำผึ้งช่วยรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก ช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย ลดกรดในกระเพาะอาหาร
- น้ำผึ้งสามารถใช้ล้างแผล ฆ่าเชื้อโรค รักษาแผลไฟไหม้ และน้ำร้อนลวกได้
- น้ำผึ้งมีความสามารถในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย “ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์” จึงใช้รักษาโรผิวหนัง
- น้ำผึ้งให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องแสงแดดและรังสียูวี
- น้ำผึ้งช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง นุ่มเนียน
ข้อควรระวัง เมื่อใช้น้ำผึ้ง
- น้ำผึ้งไม่ควรรับประทานพร้อมกับกุยช่าย หรือเต้าหู้ เพราะทำให้ท้องเสียได้
- ห้ามรับประทานน้ำผึ้งมากเกิน 50 กรัม เพราะน้ำผึ้งให้ความหวานคล้ายน้ำตาลทราย วันหนึ่งเรากินอย่างอื่นที่เป็นของหวานไปด้วย ถ้าทานน้ำผึ้งพร้อมชนมอย่างอื่น อาจเป็นเบาหวานได้ค่ะ
- น้ำผึ้งไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการท้องเสีย
- น้ำผึ้งไม่เหมาะกับผู้ที่อาเจียนบ่อย หรือภาวะอาหารไม่ย่อย
- ผู้ที่ป่วยโรคเบาหวาน ไม่ควรทานน้ำผึ้ง
- น้ำผึ้งทำมาจากเกสรดอกไม้ จึงไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาหารแพ้เกสรดอกไม้
- เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี ไม่ควรทานน้ำผึ้ง เพราะน้ำผึ้งอาจปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดโรคโบทูลิซึ่ม (botulism) ได้
ช่วงเวลาที่ควรทานน้ำผึ้ง
- ดื่มก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง – 1 ชั่วโมงขึ้น โดยผสมน้ำอุ่นจะช่วยยับยั้ง การหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร เหมาะสำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารเป็นแผล แต่ถ้าดื่มโดยผสมน้ำเย็น จะมีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งกรดของกระเพาะอาหาร ทำให้ขับถ่ายได้ง่าย
- ดื่มหลังอาหาร 2-3 ชั่วโมง การดื่มหลังอาหารทันที จะเพิ่มปริมาณน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ตับอ่อนทำงานหนักขึ้น
- ดื่มก่อนนอน เหมาะสำหรับคนที่ร่างกายไม่แข็งแรง หรือหลับยาก
น้ำผึ้งแท้ และน้ำผึ้งเทียมแตกต่างกันอย่างไร
น้ำผึ้งแท้ มีสรรพคุณที่หลากหลาย ทำให้ราคาสูง เมื่อเทียบกับน้ำตาล จึงเกิดกลโกงมากมาย ทั้งใช้น้ำผึ้งแท้ผสมน้ำตาล หรือใช้ฝักจามุรีมาเคี่ยวไฟ พอละลายก็จะได้น้ำผึ้งเทียม โดยไม่ต้องเติมน้ำผึ้งจริง
ลักษณะของน้ำผึ้งแท้
- น้ำผึ้งแท้ เมื่อหยดลงบนมือจะไม่แห้งและลื่น ต่างกับน้ำผึ้งเทียมที่จะตกผลึกและเหนียวติดนิ้ว
- น้ำผึ้งแท้ เมื่อหยดลงบนทิชชู่จะขยายวงกว้างกว่าน้ำผึ้งเทียม
- น้ำผึ้งแท้ เมื่อหยดลงน้ำจะเกาะกลุ่มเป็นก่อนค่อยๆ ละลาย
- น้ำผึ้งแท้ เมื่อหยดลง จะไหลเป็นเส้น และมีใยบางๆ ไม่ขาดสาย
- น้ำผึ้งแท้ เมื่อผสมกับชาจีนสีจะไม่เปลี่ยน ถ้าสีชาเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ ให้สันนิษฐานว่าเป็นน้ำผึ้งเทียม
- น้ำผึ้งแท้ เมื่อเก็บไว้ในตู้เย็น จะไม่ตกผลึกเป็นเกล็ดเล็กๆ
- น้ำผึ้งแท้ มดไม่ขึ้น
- น้ำผึ้งแท้ ล้างออกง่าย ไม่เหนียวติดมือ
- เมื่อนำไม้ขีดไฟจุ่มลงในน้ำผึ้งแท้ ไม้ขีดไฟจะจุดไฟติด
เรียกได้ว่า “น้ำผึ้ง” เป็นยาอายุวัฒนะขนานแท้เลยทีเดียว เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ทั้งคุณค่าทางยาและคุณค่าด้านความงาม
อย่างไรก็ตาม หากรับประทานไม่ถูกต้อง ก็ให้โทษมากเช่นกัน การรับประทานน้ำผึ้งอาจไม่ปลอดภัยต่อทารก หรือเด็กที่ยังเล็กอยู่มาก
นอกจากนี้ น้ำผึ้งยังมีบทบาทในทางศาสนา โดยเป็นเครื่องมือในการประกอบศาสนกิจ ทั้งในคัมภีร์ไบเบิล คัมภีร์อัลกุรอ่าน และพระไตรปิฎก อีกด้วย
ร่วมแสดงความคิดเห็น