ลดเลือนจุดด่างดำ เพื่อผิวหน้าขาวใสของคุณ

ลดเลือนจุดด่างดำ เพื่อผิวหน้าขาวใสของคุณ

24 ธ.ค. 64

ปัญหาผิวที่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างเคยผ่านมาแล้วคือ “ปัญหาสิว” ที่พอรักษาแล้วดันทิ้งจุดด่างดำไว้ ตอนเป็นก็สร้างความเจ็บปวดทรมานจากการอักเสบ พอตอนหายก็ยังทิ้งร่องรอยไว้ให้เจ็บใจอีก ไม่ว่าจะเป็นรอยดำ รอยแดง และ จุดด่างดำนั้นเป็นปัญหาผิวที่รักษายาก   รักษาอย่างไรก็ไม่เคยหายสักที ซึ่งรอยต่างๆ เหล่านี้นั้น ต้องใช้เวลานานในการรักษาให้จางหายไป เป็นภาวะที่ผิวหนังบางจุดมีสีเข้มขึ้นกว่าปกติ ทำให้เกิดเป็นจุดด่างดำซึ่งมีขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป โดยเราสามารถแบ่งประเภทของจุดด่างดำบนใบหน้าได้ดังนี้

ประเภทของจุดด่างดำบนใบหน้าและรอยสิว

ฝ้าแดดและจุดด่างดำ

เกิดจากการที่เซลล์เม็ดสีใต้ชั้นผิวหนัง หรือเม็ดสีเมลานินทำงานผิดปกติ โดยมักจะขึ้นเป็นวงเล็กๆสีน้ำตาลก่อน สาเหตุหลักในการเกิดฝ้าแดด หรือจุดด่างดำ คือแสงแดด ที่ไปกระตุ้นเอนไซม์ไทโรซิเนสในการผลิตเม็ดสีมากขึ้น แล้วถ้าไม่หาทางหยุดฝ้า หรือป้องกัน ก็จะค่อยๆขยายเป็นปื้นและฝังลึกลงไปในเซลล์ผิว แก้ยาก

กระ

รอยด่างดำที่เกิดขึ้นบนใบหน้า มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงน้ำตาลเข็มและมีขนาดเล็ก ส่วนมากมักจะขึ้นบริเวณใบหน้า ลำคอ และแขน สามารถเห็นได้ชัดเจนในกลุ่มคนผิวขาว ซึ่งก็จะแยกออกเป็นชนิดอีก ทั้งกระตื้น กระลึก กระเนื้อ กระแดด เกิดจากการที่ เม็ดสีเมลานิน  ทำงานผิดปกติจนทำให้บริเวณนั้น ๆ ทำให้ผิวสีเข้มขึ้น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติของเม็ดมาลานิน ส่วนมากจะเกิดมาจาก แสงแดด และ พันธุกรรม

รอยดำจากสิว

รอยดำเกิดจากการอักเสบของผิวหนัง เช่น รอยดำจากสิว เนื่องจากสิวอักเสบ หรือไปแกะสิว รอยดำลักษณะนี้จะเป็นจุดหรือปื้นสีน้ำตาล เกิดบริเวณที่ผิวหนังเคยมีการอักเสบมาก่อน หากเกิดรอยดำในผู้ที่ยังอายุยังน้อย จนถึงช่วงวัยอายุ 20 ต้นๆ รอยดำที่เกิดจากการอักเสบของสิว จะหายไปเองได้เพียงแค่รอเวลา แต่สำหรับผู้ที่อายุมากขึ้นการที่จะปล่อยให้รอยดำหายเองก็จะเป็นเรื่องยาก จึงต้องมีการักษาเพื่อลดจุดด่างดำ

วันนี้ ”เชียงใหม่นิวส์” จะเผยวิธีการกำจัดจุดด่างดำให้จางหายไปจากผิวหน้าของคุณ รับรองว่าผิวหน้าของคุณจะกลับมาขาวใสเหมือนเดิมแน่นอนค่ะ

วิธีรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ และ รอยสิว

ใช้ครีมลดรอยดำ หรือใช้ทรีทเม้นท์ทาเฉพาะจุดลงลึกยับยั้งสาเหตุการเกิดฝ้า จุดด่างดำ
พยายามเลือกครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินอี วิตามินซี อาร์บูติน กลูต้าไธโอน โคจิก และทรานซามิค เพื่อช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและฟื้นฟูผิวเพื่อลดปัญหาจุดด่างดำไปด้วย

สาวๆ ที่กำลังประสบปัญหากวนใจหน้ามีฝ้า กระ จุดด่างดำ รักษาอย่างไรก็ไม่หายยังคงเป็นปัญหาเรื้อรัง กวนใจมาตลอดแนะนำ “นีเวีย ลูมินัส 630 ดีพ สปอต”  ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้ เป็นทรีทเม้นท์เซรั่มทาเฉพาะจุด นีเวีย ลูมินัส 630 ดีพ สปอต เพื่อรักษาจุดด่างดำ ฝ้าแดด โดยเฉพาะ ซึ่งตัวนี้เค้าขึ้นชื่อว่าช่วยรักษาจุดด่างดำ และฝ้าแดดสะสมได้ดีมากๆ เพราะฉะนั้นถ้าตัวนี้แก้ฝ้าได้ รับรองว่า จุดด่างดำจากรอยสิวต่างๆ ที่มีความเข้ม ความดำฝังลึก น้อยกว่าฝ้า เอาอยู่แน่นอน โดยทรีทเม้นท์เซรั่มตัวนี้เวลาใช้ก็ใช้แต้มบริเวณที่มีจุดด่างดำ ฝ้า กระ หรือ ฝ้าแดดที่แก้ยากได้เลย ด้วยพลังของสารที่เรียกว่า ไมโครลูมินัส 630 ที่มีโมเลกุลเล็ก ซึมลึก สามารถตรงเข้าไปกำจัดปัญหาจุดด่างดำต่างๆ และฝ้าแดดฝังลึกถึงต้นตอ พิสูจน์แล้ว 97% จากผู้ใช้จริงว่าฝ้าแดดจุดด่างดำลดลงจริงใน 4 สัปดาห์ ทั้งยังช่วยลดการเกิดซ้ำของจุดด่างดำบนใบหน้าอีกด้วย และใช้ได้กับทุกสภาพผิวแม้ผิวแพ้ง่ายค่ะ
 “นีเวีย ลูมินัส 630 ดีพ สปอต”  ช่วยแก้ปัญหากวนใจเรื่องใบหน้ามีฝ้า กระ จุดด่างดำ สำหรับสาวๆ ในยุคนี้ได้ดีเลยทีเดียว ! มีขายที่ Watsons เท่านั้น ราคาเพียง 369 บาท สามารถหาซื้อได้ที่ช่องทางออนไลน์ คลิกที่นี่


2.ใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids)
เรตินอยด์ คืออะไร หลายท่านอาจจะยังเคยได้ยินแต่ยังไม่รู้จักว่า สารในกลุ่มเรตินอยด์คืออะไร มาทำความรู้จักกันก่อน

เรตินอยด์ Retinoids คือ สารในกลุ่มเบต้าแคโรทีน ที่พบตามธรรมชาติ เราจะรู้จักกันในชื่อของ “วิตามินเอ และอนุพันธุ์ของวิตามินเอ” ดังนั้น เรตินอยด์ มีความหมายครอบคลุมถึง วิตามินเอ และ อนุพันธ์ของวิตามินเอ ทั้งหมด ซึ่งจะช่วยปรับสภาพของผิวหนังของเรา
ปัจจุบันมีให้เลือกทั้งแบบเรตินเอ (แอลกอฮอล์เบส) และ ดิฟเฟอริน (วอเตอร์เบส) ซึ่งสามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดจุดด่างดำจากรอยแผลสิวได้เป็นอย่างดี ถ้ายังไม่เคยใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มาก่อนแนะนำให้ใช้ “ดิฟเฟอริน” เพราะมีความระคายเคืองและผลข้างเคียงน้อยกว่าเรตินเอ และแนะนำให้ใช้เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น เพราะผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้จะไวต่อแสงแดดมากอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวคุณได้

3.ทาเจลว่านหางจระเข้
ว่านหางจระเข้เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยสมานแผลได้ดี ดังนั้นจึงสามารถใช้รักษาจุดด่างดำจากรอยสิวได้ด้วย ปัจจุบันมีเจลว่านหางจระเข้ให้เลือกซื้อหลากหลายแบรนด์ แนะนำให้เลือกซื้อแบบที่ไม่ผสมน้ำหอมและแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันอาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้น

4.ลอกหน้าด้วยกรดผลไม้ (Chemical Peeling)
สามารถทำได้ที่คลินิกเสริมความงามหลายๆ แห่ง โดยวิธีนี้จะใช้กรดผลไม้ (AHA, TCA) ช่วยเร่งให้เกิดการหลุดลอกของเซลล์ผิวทำให้เซลล์ผิวชั้นบนกับเม็ดสีเมลานินหลุดออกมาได้ โดยเป็นการผลัดเซลล์ผิวเก่า ช่วยผลักให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ ช่วยกระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้เพื่อช่วยลบเลือนริ้วรอย จุดด่างดำจาก ฝ้า กระ และรอยแผลเป็นจากสิวได้ดี

5.รักษาด้วยเครื่องไอพีแอล (Intense Pulse Light – IPL)
สามารถทำได้ที่คลินิกเสริมความงามหลายๆ แห่ง เป็นการนำแสงความเข้มสูง ยิงเข้าสู่ผิวหนังเพื่อช่วยขจัดเม็ดสีผิวหรือเมลานิน ลดรอยหมองคล้ำต่างๆ ทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น สามารถลบรอยดำ รอยแดง จากสิว  รวมถึง ฝ้า กระ จุดด่างดำ ได้ดี แนะนำให้ทำอย่างต่อเนื่องทุกๆ 2 สัปดาห์

6.รักษาด้วยเลเซอร์
แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการใช้เลเซอร์เพื่อรักษาจุดด่างดำ เพราะมีเลเซอร์หลายชนิดที่สามารถรักษาจุดด่างดำได้ ควรให้แพทย์วินิจฉัยว่าปัญหาจุดด่างดำของแต่ละคน ควรใช้เลเซอร์ชนิดใดในการรักษาจึงจะเหมาะสมที่สุด แสงเลเซอร์สามารถเข้าไปทำให้เม็ดสีกระจายตัวและกลายเป็นสะเก็ดแผลหลังทำ หลังจากนั้นจะหลุดออกไปเองตามธรรมชาติ ควรทำซ้ำอย่างต่อเนื่องทุก 2 อาทิตย์

7.กินวิตามิน
การกินวิตามินจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 เดือนกว่าจะเห็นผล และต้องกินเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง วิตามินที่แนะนำคือ วิตามินซี และวิตามินอี ควรศึกษาข้อมูลที่ถูกต้องก่อนการใช้ผลิตภัณฑ์ทุกครั้ง

8.ดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ
เพราะน้ำเปล่าจะช่วยดีท็อกซ์ของเสียในร่างกาย ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมากขึ้น ส่งผลให้รอยสิวต่างๆ จางลงเร็วขึ้น โดยใน 1 วันควรดื่มน้ำไม่ร้อยกว่า 8 แก้ว หรือไม่น้อยกว่า 1,500 มิลลิลิตร

สรุป
ทั้งหมดนี้คือวิธีลดเลือนจุดด่างดำที่คุณเองสามารถทำตามได้ และนอกเหนือจากวิธีเหล่านี้แล้ว คุณควรดูแลตัวเองจากภายใน ด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ดื่มน้ำเยอะๆ และที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงแสงแดดแรงๆ ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป ทุกครั้งก่อนออกแดด เพราะจุดด่างดำ ฝ้า กระ ต่างก็มีตัวกระตุ้นสำคัญที่เหมือนกันนั่นก็คือ UV ในแสงแดด ทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลดีต่อการรักษารอยดำให้จางลงและหายไปได้เร็วขึ้น

เรียบเรียงโดย: “เชียงใหม่นิวส์”
ขอบคุณข้อมูลจาก: women.trueid และ Medthai
ขอบคุณภาพจาก: VladimirFLoyd, 435skin และ siamhealth