ทำความรู้จักกับ “บลัชออน” พร้อมเทคนิคการเลือกบลัชออนให้เหมาะกับตัวคุณเอง

บลัชออนช่วยเพิ่มสีสันให้พวงแก้มของคุณ ทำให้แก้มดูมีเลือดฝาด สุขภาพดี แต่คุณรู้หรือไม่ว่าบลัชออนที่คุณใช้อยู่ทุกวันทำมาจากอะไร และคุณเองเหมาะกับบลัชออนแบบไหน คุณอาจคิดว่าการเลือกบลัชออนสักอันไม่ใช่เรื่องยาก เพราะก็แค่เลือกเฉดสีตามที่ชอบ โดยที่ไม่รู้ว่าจะเข้ากับสีผิว สภาพผิวของตัวเองหรือไม่ ซึ่งการเลือกไม่เป็นนี่แหละคือปัญหาใหญ่

วันนี้ “เชียงใหม่นิวส์” จะพาคุณไปรู้จักบลัชออน ว่าทำมาจากอะไร มีกี่ชนิด และที่สำคัญเรามีเคล็ดลับการเลือกบลัชออนให้เหมาะกับผิวคุณมาฝาก จะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลยค่ะ

บลัชออน คืออะไร?

บลัชออน (Blush on) คือเครื่องสำอางสำหรับใช้ปัดบริเวณแก้ม เน้นผลิตเฉดสีโทนส้ม ชมพู และแดง เพื่อให้ผิวหน้าดูสุขภาพดี มีเลือดฝาด ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ทั้งยังช่วยปรับโครงหน้าให้เรียวลง คมชัด แถมขับผิวให้เปล่งปลั่ง สดใส และหน้าอ่อนกว่าวัยยิ่งกว่าเดิมอีกด้วย

บลัชออนเกิดจากการนำผงสีหรือพิกเมนต์สีมาผสมกับผงแป้งและกรดไขมันสกัดจากธรรมชาติ เพื่อทำให้เนื้อของบลัชออนมีความเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น ใช้ทาได้สะดวก และนอกจากนี้ในบลัชออนยังมีสารประกอบต่าง ๆ เช่น ไมกา, ซิงก์ออกไซด์ และไททาเนียมออกไซด์ ซึ่งจะช่วยให้บลัชออนมีสีที่โดดเด่นและชัดมากยิ่งขึ้น ซึ่งตัวผงสีผ่านการรับรองมาตรฐานว่าปลอดภัย จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา รับรองว่าปลอดภัยต่อใบหน้าของคุณอย่างแน่นอน

บลัชออน มีกี่ชนิด?

เมื่อได้รู้จักบลัชออนกันไปแล้วว่าคืออะไร คราวนี้มารู้จักประเภทของบลัชออนกันดีกว่า จะได้รู้ว่าควรเลือกใช้แบบไหนจึงจะเข้ากับสภาพผิวของคุณมากที่สุด

1.บลัชออนแบบฝุ่น
บลัชออนที่เป็นลักษณะฝุ่นอัดแข็ง เนื้อแห้ง ต้องใช้คู่กับแป้งปัดแก้ม มีทั้งเนื้อแมตต์และเนื้อชิมเมอร์ สามารถเติมได้ระหว่างวัน เหมาะสำหรับสาวที่มีผิวหน้ามัน เพราะจะช่วยดักความมันส่วนเกินบนใบหน้าได้ แต่บลัชออนแบบฝุ่นจะไม่ติดทนนานทั้งวันเท่าบลัชออนแบบอื่น ๆ

ข้อดีของการใช้บลัชออนแบบฝุ่น
การใช้บลัชออนแบบฝุ่นจะใช้ง่ายที่สุดและเหมาะกับสาว ๆ มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มหัดแต่งหน้า จะให้ความเป็นธรรมชาติ

2.บลัชออนแบบครีม
บลัชออนแบบครีมควรใช้นิ้วมือในการเกลี่ยเพราะจะทำให้บลัชออนติดทนนานและดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น เพราะความอุ่นจากนิ้วมือจะทำให้เกลี่ยง่าย และให้ความติดทนนานมากกว่าแบบฝุ่น

ข้อดีของการใช้บลัชออนแบบครีม
บลัชออนแบบครีมจะติดทนนานมากกว่าบลัชออนแบบฝุ่น พวงแก้มจะสีสันสดใส เหมาะกับคนที่ต้องการลุคแน่น ๆ ไม่ต้องเติมระหว่างวัน แต่ยังให้ความเป็นธรรมชาติอยู่

3.บลัชออนแบบน้ำ
บลัชออนแบบเหลวจะรวมไปถึง บลัชออนแบบเจล และแบบทินท์ ก็ควรใช้นิ้วมือในการเกลี่ย เพื่อให้เรียบเนียนเป็นธรรมชาติ และติดทนนานมากที่สุด ข้อเสียของการใช้บลัชออนแบบเหลวคือจะแห้งค่อนข้างไว ดังนั้นควรรีบเกลี่ยให้ไวที่สุดก่อนที่บลัชออนจะแห้ง

ข้อดีของการใช้บลัชออนแบบน้ำ
การใช้บลัชออนแบบน้ำจะทำให้ได้ลุคที่ดูเป็นธรรมชาติ เป็นลุคที่ดูโกลว์ ๆ ฉ่ำ ๆ สไตล์สาวเกาหลี ที่ไม่เน้นลงแป้งฝุ่นอะไรมากมาย จะเป็นการเน้นงานโชว์ผิวมากกว่า และติดทนตลอดทั้งวัน

4.บลัชออนแบบผง
บลัชออนแบบผงเป็นบลัชออนเนื้อแมตต์จากแร่ธรรมชาติ 100% หรือเรียกอีกอย่างว่าบลัชออนสูตรมิเนอรัล จะมีเนื้อละเอียด สีติดทนนาน เม็ดสีเข้มข้น สกัดจากแร่ธรรมชาติ ปราศจากสารเคมีที่ทำร้ายผิวเหมาะสำหรับคนที่ผิวแพ้ง่าย

ข้อดีของการใช้บลัชออนแบบผง
บลัชออนแบบผงเหมาะสำหรับคนที่ผิวแพ้ง่ายและผิวบอบบาง ทั้งยังช่วยบำรุงผิวได้อีกด้วย การใช้บลัชออนแบบผงจะให้ลุคที่บางเบา คล้ายกับการใช้แบบฝุ่นแต่ไม่ต้องใช้แปรงในการปัดเพราะบลัชออนแบบผงจะมาพร้อมพัฟในตัว ใช้สะดวกสบาย สามารถพกพาได้

5.บลัชออนแบบคุชชั่น
บลัชออนแบบคุชชั่นจะมาในรูปแบบเนื้อครีม ทำให้มีความติดทนทั้งวัน ให้ลุคฉ่ำวาวสไตล์สาวเกาหลี เน้นโชว์ผิวเป็นธรรมชาติ สามารถเติมระหว่างวันได้ พกพาสะดวก

ข้อดีของการใช้บลัชออนแบบคุชชั่น
บลัชออนแบบคุชชั่นใช้ง่าย ใช้สะดวกเพราะมีพัฟมาตลับทำให้ไม่เลอะมือเวลาใช้ พกพาไปเติมระหว่างวันได้ ให้ลุคที่บางเบาเป็นธรรมชาติ เน้นโชว์ผิว

อายุการใช้งานของบลัชออน

ปัจจุบันมีบลัชออน 5 ชนิด ได้แก่ บลัชออนแบบฝุ่น, บลัชออนแบบครีม, บลัชออนแบบน้ำ, บลัชออนแบบผง และบลัชออนแบบคุชชั่น

1.บลัชออนแบบฝุ่น และบลัชออนแบบผง จะมีอายุการใช้งาน 6 เดือนถึง 1 ปี หลังจากวันที่เปิดใช้
2.บลัชออนแบบครีม, บลัชออนแบบน้ำ และบลัชออนแบบคุชชั่น จะมีอายุการใช้งาน 6 เดือน หลังจากวันที่เปิดใช้

วิธีเก็บรักษาบลัชออน

เครื่องสำอางที่มีลักษณะเป็นผง หรือเป็นแท่ง ควรจะเก็บในสภาพอุณหภูมิปกติ ที่แห้งและควรเก็บให้พ้นจากแสงแดด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความชื้น ควรปิดฝาให้สนิททุกครั้งหลังการใช้งาน เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกเข้าไป และเพื่อไม่ให้สีเพี้ยนและเสื่อมเร็วเกินไป

วิธีเลือกสีบลัชออนให้เข้ากับสีผิวของตัวเอง

1.คนที่มีผิวขาว
ควรใช้บลัชออนโทนสีเบา ๆ อย่าง ชมพูอ่อน, ชมพูพีช, ส้มอ่อน, ส้มพีช หรือสีส้มอมชมพู จะทำให้ไม่ดูแดงจนเกินไป และจะให้ดูเป็นธรรมชาติ

2.คนที่มีผิวสองสี
สาวไทยส่วนใหญ่มีผิวสองสี ไม่เอนไปทางขาวมาก หรือเข้มมาก จึงควรใช้บลัชออนโทนชมพูพีช, ชมพูกะปิ หรือ ชมพูอมม่วง สามารถเลือกใช้สีที่เข้มขึ้นกว่าสาวผิวขาว เพราะถ้าใช้สีที่อ่อนเกินไปจะทำให้ดูซีด แต่ถ้าสีเข้มมากกว่าจะดูไม่เป็นธรรมชาติ

3.คนที่มีผิวเข้ม
ควรใช้บลัชออนโทนสีสว่างสดใส อย่างสีส้มอิฐ, สีน้ำตาลอมแดง, น้ำตาลอมส้ม หรือสีชมพูเข้ม เพื่อให้ดูสดใส และมีสีสันมากขึ้น สาวผิวเข้มจะเหมาะสำหรับการปัดบลัชออนเนื้อชิมเมอร์เพื่อให้ผิวดูโกลว์สวยและเปล่งประกายมากขึ้น

รูปหน้าของคุณเหมาะกับการปัดบลัชออนแบบไหน?

แต่ละคนมีเฉดสีผิวทีี่ไม่เหมือนกัน ควรเลือกสีบลัชออนให้เหมาะกับเฉดสีผิวของตัวเอง

1.ใบหน้ารูปไข่ ปัดบลัชออนบริเวณเหนือโหนกแก้ม ลากเป็นแนวจากกึ่งกลางข้างจมูก เฉียงขึ้นไปจนถึงแนวเดียวกับหางตา จะช่วยเน้นให้สีของบลัชออนดูโดดเด่นมากขึ้นเวลายิ้ม

2.ใบหน้ากลม ให้ปัดบลัชออนเหนือโหนกแก้มเหมือนกับคนที่มีหน้ารูปไข่ แต่ต้องปัดเป็นแนวเฉียงเริ่มจากข้างไรผมมาจนถึงกลางใบหน้า เพื่อเน้นบริเวณกรอบหน้าให้หน้าดูเรียวลง และเป็นรูปสวยมากขึ้น

3.ใบหน้าเหลี่ยม ให้ปัดบลัชออนตรงกับโหนกแก้มเพื่อลดความคมของใบหน้า และหลอกตาให้โหนกแก้มเดิมไม่ดูเด่นจนเกินไป เสร็จแล้วอย่าลืมใช้บรอนเซอร์มาคอนทัวร์ตรงกรอบหน้าด้วย หน้าจะได้ดูเรียวมน และอ่อนโยนขี้นกว่าเดิม

4.รูปหน้ายาว ควรปัดบลัชออนแนวขวางบนใบหน้า เริ่มตั้งแต่ปัดในระดับเดียวกับปลายจมูก ให้เป็นรูปคล้ายสามเหลี่ยมคว่ำยาวไปจนเกือบถึงใบหู จะช่วยให้หน้าดูสั้น และสมส่วนพอดี

5.รูปหน้าสั้น ให้ปัดบลัชออนเป็นแนวเฉียง เริ่มตั้งแต่ระดับใต้ปลายจมูกสูงขึ้นไปจนถึงขมับ ที่สำคัญคือควรปัดเป็นเส้นโค้ง หลบพวงแก้มตรงกลางใบหน้า เพื่อไม่ให้หน้าดูแบนไร้มิติ และช่วยปรับให้รูปหน้าเรียวยาวมากขึ้นกว่าเดิม

ตัวอย่างรูปหน้าแบบต่างๆ

สรุป

คุณควรเลือกใช้บลัชออนที่เหมาะกับสภาพผิว และเฉดสีผิวของคุณ และควรปัดให้เข้ากับรูปหน้าของคุณด้วย ควรเลือกใช้บลัชออนที่มีมาตรฐานรับรอง มีความน่าเชื่อถือในตัวผลิตภัณฑ์ เพื่อความปลอดภัยต่อตัวคุณเอง ที่สำคัญคือค่อย ๆ ปัดทีละนิดนะคะ หากสีอ่อนไปเรายังสามารถปัดเพิ่มได้ แต่หากเราปัดหนักไปตั้งแต่แรก แก้มคุณจะแดงจนเกินไป ดูไม่ธรรมชาติได้

เรียบเรียงโดย: “เชียงใหม่นิวส์”
อ้างอิงข้อมูลจาก: women.kapook และ jeban
ขอบคุณภาพจาก: ikub, Pinterest และ AkeruFeed

บทความที่เกี่ยวข้อง

แก้มอมชมพูแบบธรรมชาติ วิธีง่าย ๆ ทำได้ด้วยตัวคุณ

ร่วมแสดงความคิดเห็น