แสงแดดเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และหลาย ๆ
คนคงรู้กันดีว่า แม้แสงแดดจะเป็นแหล่งประโยชน์ของวิตามินดี
แต่แสงแดดก็ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพผิวได้เช่นกัน เนื่องจากในปัจจุบันแดดค่อนข้างแรงเราจึงต้องมีการป้องกันอันตรายจากแสงแดดอยู่เสมอ
เมื่อเราออกรถใหม่ สิ่งแรกที่ต้องติดตั้งเพิ่มเติม คือ ฟิล์มกรองแสงนั้นเอง การเลือกฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่เราควรให้ความสำคัญ
วันนี้ “เชียงใหม่นิวส์” จะมาแนะนำวิธีการเลือกฟิล์มกรองแสงติดรถยนต์ที่เหมาะสมกับรถของคุณกันค่ะ
ทำความรู้จักฟิล์มกรองแสงรถยนต์
ฟิล์มกรองแสง ทำจากพลาสติก โพลีเอสเตอร์ที่มีความเหนียว บาง เรียบ สามารถแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกับกระจก
โดยยึดกระจกด้วยกาวที่มีความใส ดังนั้น เราจึงมองผ่านฟิล์มได้ชัดเจน
ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ที่ต้องการกันความร้อนนั้น ต่างจากฟิล์มลดแสงสว่างทั่วไป
เพราะฟิล์มกรองแสงทั่วไป ย้อมสีเพื่อกรองแสงสว่างเท่านั้น ในขณะที่ฟิล์มกรองแสงที่กันความร้อนจะต้องลดรังสีอัลตราไวโอเลตได้ด้วย
ประเภทของฟิล์มกรองแสง
1.แบบไม่มีส่วนผสมของสารป้องกันรังสีที่มาจากแสงแดด
ฟิล์มชนิดนี้จะมีคุณสมบัติเฉพาะในการกรองแสงจากดวงอาทิตย์ให้อ่อนลงเมื่อส่องผ่านกระจกเข้ามาภายในตัวรถเท่านั้น ฟิล์มประเภทนี้จะลดความเข้มของแสงได้เพียงอย่างเดียว แต่จะไม่สามารถกรองหรือลดอันตรายและความเข้มของรังสีต่าง ๆ ที่มากับแสงแดดได้ ฟิล์มชนิดนี้จึงไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก และฟิล์มชนิดนี้สามารถกันความร้อนได้ไม่เกิน 50% ส่วนราคาอยู่ที่ประมาณ 800-1,500 บาท/คัน และอายุการใช้งานประมาณ 3-5 ปี
2. แบบที่มีส่วนผสมของสารป้องกันรังสีที่มาจากแสงแดด
ฟิล์มประเภทนี้ ตัวเนื้อฟิล์มจะเพิ่มวัสดุพิเศษซ้อนเข้าไปเพื่อเป็นตัวป้องกันรังสีต่าง ๆ ที่เป็นอันตรายต่อทั้งผู้โดยสาร และชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ถูกแสงแดด ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นประเภทย่อย ๆ ได้อีก 4 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่
2.1 ฟิล์มปรอท, ฟิล์มเคลือบโลหะ และฟิล์มลดความร้อน
คุณภาพการลดความร้อน 35-90% เนื้อฟิล์มจะเป็นสีสะท้อนแสงคล้ายกระจกเงา ค่อนข้างอันตรายสำหรับรถที่ขับตามหลังในเวลากลางวัน เพราะจะมองลอดผ่านกระจกไม่ได้เลย แต่เมื่อเอามือป้องที่กระจกจะสามารถมองผ่านเห็นด้านในได้ หรือหากเปิดไฟในรถเวลากลางคืนจะสามารถเห็นได้จากภายนอก ส่วนราคาอยู่ที่ประมาณ 2,000-5,000 บาท/คัน และอายุการใช้งานประมาณ 3-7 ปี
2.2 ฟิล์มอินฟาเรด
ฟิล์มชนิดที่เคลือบสารพิเศษในการไปตัดรังสีอินฟาเรด ซึ่งเป็นฟิล์มที่กันความร้อนได้ค่อนข้างดีที่สุด และมีราคาที่สูงมาก แต่ในปัจจุบันเริ่มมีหลายบริษัทผู้ผลิตฟิล์มจำหน่ายมากขึ้น ทำให้ราคาเริ่มปรับลดลง
2.3 ฟิล์มนิรภัย
มีความหนาตั้งแต่ 4 มิลลิเมตร ขึ้นไป (1 มิลลิเมตร = 1/1,000 นิ้ว) มีทั้งชนิดลดความร้อน และไม่ลดความร้อน คุณสมบัติ จะช่วยยึดเกาะแผ่นกระจกให้คงรูปเดิมมากที่สุดเมื่อกระจกถูกแรงกระแทก และแตกเป็นเม็ดละเอียด และเนื้อฟิล์มก็ยังช่วยซับแรงได้อีกชั้นหนึ่ง ส่วนมากจะใช้ในงานอาคารสูงเพื่อยึดกระจกไว้เวลากระจกแตก แต่ปัจจุบันก็เริ่มนำมาใช้ในรถยนต์มากขึ้น
2.4 ฟิล์มใสนาโน
ฟิล์มประเภทนี้ แสงส่องผ่านได้มากกว่า 60% และไม่มีเงา แต่ลดความร้อนได้สูง
และเป็นฟิล์มที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ ใช้อนุภาคนาโน เช่น อนุภาคเซรามิค ฝังเข้าไปในเนื้อฟิล์มแทนการฉาบด้วยโลหะ ฟิล์มรถยนต์ประเภทนาโนจะสามารถป้องกันรังสีอินฟราเรดหรือรังสีความร้อนได้โดยเฉพาะ และก็มีความทนทานกว่าฟิล์มรถยนต์ทั่วๆไป อายุการใช้งานนานเกิน 10 ปี ราคามีความแพงกว่าฟิล์มรถยนต์ทั่วๆไป แต่คุณภาพดี และจะไม่เสื่อมสภาพเหมือนฟิล์มทั่ว ๆ ไป
3. ฟิล์ม Photochromic
ฟิล์มกรองแสงสามารถเปลี่ยนสีได้อัตโนมัติ เหมือนเลนแว่นที่ปรับแสงได้ โดยมีปัจจัยที่มากระตุ้นให้ฟิล์มเปลี่ยนสีได้ คือ แสง อุณหภูมิ และ UV เป็นฟิล์มที่อออกแบบมาเพื่อให้ผู้ขับขี่ใช้งานง่ายในตอนกลางคืน และกันความร้อนจากอินฟาเรดได้ถึง 99% ราคาอยู่ที่ขนาดของรถยนต์ โดยจะมีราคาเริ่มต้นที่ 29,000-34,000 บาทไม่มีส่วนผสมของโลหะโดยใช้เซรามิคเกรดพิเศษมีคุณสมบัติคล้ายแว่นตาตัดแสง ลดแสงจ้าตอนกลางวันและตัดแสงฟุ้งตอนกลางคืน
ฟิล์มกรองแสงเป็นวัสดุชิ้นหนึ่งที่ถือว่ามีความสำคัญกับรถมาก เพราะถ้าติดฟิล์มที่ดีและมีคุณภาพ จะช่วยสร้างความปลอดภัยให้ผู้ขับขี่ได้ แต่ถ้าติดฟิล์มที่เข้มไป หรือไม่มีคุณภาพ ก็อาจจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน
เรียงเรียงข้อมูลโดย : เชียงใหม่นิวส์
อ้างอิงข้อมูลจาก : checkrakacom
: สมาคมฟิล์มกรองแสงแห่งประเทศไทย
:prachachat
ร่วมแสดงความคิดเห็น