ความทรงจำที่เวียดนาม

นับย้อนไปในอดีตกว่า 200 ปี ชื่อ “เวียดนาม” ปรากฏเป็นครั้งแรกในสมัยพระเจ้ายาลอง หรือ องเชียงสือ ตามประวัติศาสตร์เวียดนามมีความสัมพันธ์อันยาวนานต่อจีน ซึ่งได้รับอิทธิพลทั้งด้านศิลปะและสถาปัตยกรรม ภายหลังการล่มสลายของราชวงศ์ถัง เมืองนี้ได้รับเอกราชใหม่ภายใต้ชื่อ “อัน นาม” และมีกษัตริย์ปกครองต่อมาถึง 8 ราชวงศ์

ช่วงระหว่างปี ค.ศ.1776 – 1792 เมืองอัน นาม ถูกรุกรานโดยกบฏไต เซิน ซึ่งต่อมากองทัพฝรั่งเศสได้เข้ามาช่วยรบจนสามารถขับไล่พวกกบฏไต เซิน และรวบรวมดินแดนทั้งเหนือและใต้ให้เป็นปึกแผ่น พระเจ้ายาลองได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ มีราชธานีอยู่ที่เมืองเว้นับต่อจากสมัยพระเจ้ายาลอง แห่งราชวงศ์เหวียน อาณาจักรเว้รุ่งเรืองและสวยงามที่สุดในเวียดนาม การต่อสู้กับลัทธิจักรวรรดินิยมเริ่มรุนแรงขึ้นในปี ค.ศ.1861 เมื่อฝรั่งเศสยึดไซ่ง่อนและหัวเมืองทางตอนใต้ได้ทั้งหมด และถูกเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ว่า “โคชิน ไชน่า” (Cochin China) และถูกรวมเข้าเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้เข้าบุกยึดหัวเมืองชายฝั่งทะเลของเวียดนาม จนกระทั่งญี่ปุ่นแพ้สงครามจำต้องคืนอิสรภาพของเมืองชายฝั่งให้เวียดนามกลับคืนไป ขณะเดียวกันกองกำลังชาตินิยมของจีนก็รุกคืบเข้ามาทางเหนือ ส่วนทางภาคใต้ยังมีกองกำลัง
ของฝรั่งเศสเข้าควบคุมอยู่ ในช่วงที่จีนโดยการนำของซุนยัตเซ็น แห่งพรรคก๊กมินตั๋งได้ก่อการปฏิวัติขึ้น ทางเวียดนามก็มีพรรคเวียดนาม กว๊อก เยิน ดั่ง ขึ้นต่อสู้กับฝรั่งเศส ช่วงเวลานี้มีบุคคลสำคัญหรือรัฐบุรุษท่านหนึ่งได้จรัสแสงขึ้นและเป็นขวัญใจของคนทั้งชาติ ท่านชื่อ “เหวียน ไอ กว๊อก” หรือทั่วโลกรู้จักท่านในนาม “โฮจิมินห์”

ปี ค.ศ.1945 หลังจากเวียดมินห์ ภายใต้การนำของโฮจิมินห์ เข้ายึดฮานอยและสามารถควบคุมไซ่ง่อนได้แล้ว ท่านประกาศจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้นที่เมืองฮานอย เดือนกันยายนในปีนั้น โฮจิมินห์ประกาศตั้งตนขึ้นเป็นประธานาธิบดี ภายใต้ชื่อประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม หลายปีต่อมาสงครามในเวียดนามยังไม่มีทีท่าว่าจะจบ กระทั่งปี ค.ศ.1968 กองทัพเวียด กง ได้บุกโจมตีพร้อมกันทั้งไซ่ง่อนและเวียดนามใต้ สร้างความเสียหายแก่กองทัพสหรัฐและฝรั่งเศส จนอีก 5 ปีต่อมาได้มีการเจรจาข้อตกลงสันติภาพที่กรุงปารีส

สหรัฐยอมถอนทหารออกจากเวียดนาม เมื่อฝ่ายใต้ขาดกองกำลังสนับสนุน ทำให้กองทัพฝ่ายเหนือยาตราเข้าสู่ไซ่ง่อนเพื่อปลดแอกและสร้างเอกภาพ รวมชาติเวียดนามเมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ.1975 ประเทศเวียดนามมีรูปร่างคล้ายตัวอักษร “S” มีชายฝั่งด้านตะวันออกติดทะเลทอดตัวยาวกว่า 1,600 กิโลเมตร ขนาบไปตามแนวยาวของคาบสมุทรอินโดจีน นอกจากนี้ยังไหล่เขาและหมู่เกาะต่าง ๆ อีกนับพันเกาะ เรียงรายตั้งแต่อ่าวตังเกี๋ยไปจนถึงอ่าวไทย เวียดนามมีการผสมผสานด้านวัฒนธรรมจากหลายชนชาติ เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.432 เวียดนามตกอยู่ภายใต้อิทธิพลจากจักรพรรดิจีนนานกว่าพันปี ดังนั้นสิ่งก่อสร้าง อาหารการกิน จึงมีลักษณะคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมของจีนมาก และยังมีความหลากหลายของผู้คนซึ่งเป็นชาวเขาหลากหลายชนเผ่าซึ่งอยู่ทางภาคเหนือของเวียดนามและเมื่อสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนามก็ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมบางส่วนจากฝรั่งเศส เช่น รูปทรงอาคารเป็นตึกสีเหลืองสไตล์โคโลเนียลมีให้เห็นมากมาย โดยเฉพาะในเมืองหลวงอย่างฮานอย

เมืองฮานอย เป็นนครหลวงเก่าแก่ของเวียดนามจะมีอายุครบ 1,000 ปีในปี ค.ศ.2010 ยังคงรักษาความเป็นเอกลักษณ์ได้อย่างเหนียวแน่น อาคารสำคัญต่าง ๆ ก่อสร้างเป็นแบบสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส ต้นไม้สองข้างถนนมีอายุกว่าร้อยปีสร้างความร่มรื่นให้กับเมืองเป็นยิ่งนัก เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนฮานอย จึงมักไม่พลาดเข้าไปเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ได้แก่ สุสานประธานาธิบดีโฮจิมินห์ วีรบุรุษตลอดกาลของชาวเวียดนาม ผู้ที่รวบรวมเวียดนามให้เป็นประเทศเดียวกัน และท่านยังเป็นผู้ประกาศเอกราชให้กับประเทศเวียดนาม

ภายในสุสานบรรจุศพประธานาธิบดีโฮจิมินห์ ซึ่งได้ทำการเก็บรักษาศพไว้อย่างดีไม่ให้เน่าเปื่อย ใกล้กับสุสานประธานาธิบดี เป็นที่ตั้งของทำเนียบประธานาธิบดี รัฐบาลเวียดนามได้สร้างให้ท่านโฮจิมินห์ไว้เพื่อพำนัก แต่ท่านเลือกที่จะพักอาศัยอยู่ในบ้านไม้หลักเล็กซึ่งตั้งอยู่หลังทำเนียบแทน ทำเนียบแห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เมื่อเดินทะลุด้านหลังจะเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ ซึ่งได้รับการออกแบบอาคารโดยช่างชาวรัสเซีย ภายในพิพิธภัณฑ์เก็บรวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ ของประธานาธิบดีโฮจิมินห์ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเติบโต รวมถึงขั้นตอนการปฏิวัติและกอบกู้เอกราชจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตที่ประกาศเอกราชให้ชาวเวียดนาม

สถานที่ท่องเที่ยวในฮานอย นอกจากจะเกี่ยวข้องกับท่านประธานาธิบดีโฮจิมินห์แล้ว วัดวาอารามและศิลปกรรมในฮานอยก็ได้รับการยกย่องว่ามีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่นักท่องเที่ยวต้องไม่พลาดชม เช่น วิหารวรรณกรรม ซึ่งถือเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศเวียดนาม สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1070 ในอดีตเคยใช้เป็นที่สอบคัดเลือกจอหงวนเพื่อเข้ารับราชการ ต่อมาได้เปิดให้มีการสอบคัดเลือกสำหรับบุคคลทั่วไปด้วย และยังเป็นที่ตั้งอนุสรณ์ของท่านขงจื้อ วัดหง็อกเซิน หรือ วัดเนินหยก ตั้งอยู่บนชะโงกเงื้อมเหนือเกาะเล็ก ๆ ในทะเลสาบกลางเมืองฮานอย วัดนี้สร้างโดยผู้กล้าชาวเวียดนามท่านหนึ่งที่สามารถปลดแอกเวียดนามจากกองมองโกลได้ในสมัยศตวรรษที่ 18 เป็นวัดที่มีความงดงามอีกวัดหนึ่งตามแบบศิลปกรรมจีน นอกจากนั้นยังมีวัดเจดีย์เสาเดียว ที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาเที่ยวชม วัดนี้สร้างเป็นรูปทรงคล้ายดอกบัว ตั้งอยู่กลางสระ ว่ากันว่าในอดีตวัดแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาให้แก่เจ้าแม่กวนอิม

โดยตำนานกล่าวว่า มีกษัตริย์พระองค์หนึ่งนามว่า พระเจ้าหลี ไท โต ทรงอยากได้พระโอรสมากและรอคอยมาเป็นเวลานานก็ยังไม่สมหวังสักที จนวันหนึ่งได้ฝันเห็นพระโพธิสัตว์กวนอิมมาปรากฏที่สระดอกบัวและได้ประทานพระโอรสให้กับพระองค์ หลังจากนั้นไม่นานพระองค์ก็ได้พระโอรสสมใจ จึงได้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นกลางสระบัวเพื่อเป็นการขอบคุณพระโพธิสัตว์กวมอิม วัดแห่งนี้จะคร่าคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวและชาวเวียดนามที่เดินทางไปบูชาพระโพธิสัตว์กวนอิมเพื่อกราบไหว้ขอลูกชาย

สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติอันสวยงามของเวียดนาม ต้องแวะไปเที่ยวที่อ่าวฮาลอง ซึ่งอยู่ไกลออกไปจากตัวเมืองฮานอยประมาณ 120 ก.ม. อ่าวฮาลองได้รับการประกาศจากยูเนสโก (Unesco) ให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง การได้ล่องเรือชมความงามของอ่าวฮาลองนั้นเปรียบเสมือนกับการได้เดินทางเข้าไปยังดินแดนแห่งเทพนิยาย เหมือนดั่งภาพฝันที่เมื่อเข้าไปแล้วแทบไม่อยากจะออกมา

ฮาลอง ประกอบไปด้วยหมู่เกาะน้อยใหญ่กว่า 1,900 เกาะ อ่าวแห่งนี้เต็มไปด้วยภูเขาหินปูนมากมาย ระหว่างการล่องเรือนักท่องเที่ยวสามารถชมความงามของเกาะต่าง ๆ ทั้งเกาะหมา เกาะแมว เกาะชนไก่ นอกจากนั้นยังมีถ้ำนางฟ้าซึ่งภายในปรากฏหินงอกหินย้อยมากมาย ถ้ำนางฟ้าเพิ่งถูกค้นพบเมื่อไม่นาน ภายในมีการประดับประดาด้วยแสงไฟหลากสี เมื่อมองดูแล้วทำให้เกิดจินตนาการเป็นรูปร่างสัตว์ต่าง ๆ อาทิ รูปมังกร นกอินทรีย์ นางฟ้าและพระพุทธรูป

ส่วนนักท่องเที่ยวที่เป็น “ขาช็อป” ต้องไปเดินที่ตลาดดง ซวน (ย่านถนน 36 สาย) สินค้าส่วนใหญ่ที่จำหน่ายเป็นสินค้าที่มาจากจีน เช่น กระเป๋าเดินทาง เป้ รองเท้า กระเป๋าถือ รวมถึงสินค้าเลียนแบบยี่ห้อดัง ๆ นอกจากนั้นยังมีของฝากของที่ระลึกพวกตุ๊กตาไม้ เซรามิก กำไลฯลฯ ถือได้ว่าเป็นแหล่งละลายทรัพย์ของนักท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง

แหล่งท่องเที่ยวในเวียดนามนั้นมีหลากหลาย ตั้งแต่เวียดนามเหนือ กลาง ใต้ ได้แก่เมืองฮานอย ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเวียดนามตั้งอยู่ทางเหนือ เป็นเมืองศูนย์กลางด้านการค้าและอุตสาหกรรม ส่วนเมืองดานัง – เมืองเว้ เป็นเมืองประวัติศาสตร์อยู่ทางตอนกลางของ
เวียดนาม และเมืองโฮจิมินห์ซิตี้ เป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ
การได้เดินทางมาเยือน “เมืองเว้” อดีตราชธานีสำคัญของเวียดนามในครั้งนี้ จึงนับเป็นความทรงจำอันยากแก่การลืมเลือน “ภูไม่สูง น้ำไม่ลึก ชายเหลี่ยมจัด หญิงเสน่ห์ร้อนแรง” คือคำจำกัดความที่คนเวียดนามมอบให้กับ “คนเว้” ด้วยภูมิประเทศของเว้เป็นทั้งเสน่ห์ชวนฉงน และเป็นจุดอ่อนโดยตัวมันเอง เพราะเว้มีด้านที่ติดทะเล

ขณะเดียวกันก็มีที่ราบน้อยนิดอยู่ประชิดภูเขาจึงไม่เหมาะที่จะทำการเกษตรและอุตสาหกรรม ทรัพยากรสำคัญอย่างเดียวที่เว้มีอยู่ก็คือ ทรัพยากรทางการท่องเที่ยว เพราะนอกจากจะเป็นเมืองแห่งทะเล ภูเขาและแม่น้ำที่งดงามแล้ว เว้ยังเต็มไปด้วยโบราณวัตถุ โบราณสถานที่ราชวงศ์เหวียนสร้างสมไว้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมแก่คนเวียดนามรุ่นหลัง

เมืองเว้ เป็นอดีตหัวเมืองสำคัญที่อยู่ตอนกลางของประเทศ เคยเป็นราชธานีเก่าและเป็นเมืองของกษัตริย์ในราชวงศ์เหงียนนครแห่งประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรมและวิทยาการที่สำคัญที่สุด “เว้” เป็นเมืองมีเสน่ห์และคุณค่าด้านความงามตามธรรมชาติตั้งอยู่บนชายฝั่งแม่น้ำหอม เมืองนี้มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญคือ พระราชวังหลวงของกษัตริย์ราชวงศ์เหวียน พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2348 ในสมัยยาลอง และได้รับการปฏิสังขรณ์อีก 2 ครั้ง ในปี พ.ศ.2377 และ พ.ศ.2467 เคยเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ราชวงศ์เหวียน 13 พระองค์ พระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เป็นมรดกตกทอดอันยิ่งใหญ่และงดงามแห่งนี้ ได้ถูกสร้างขึ้นตามแบบแผนความเชื่อของจีน เว้เป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์ใจกลางเมืองเวียดนาม เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวอันน่าตื่นตาของพระราชวัง สุสานของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหวียน ตลอดจนป้อมปราการที่ตั้งสง่างามอยู่ใจกลางเมือง แม้ว่าเมืองเว้จะได้รับความเสียหายจากพิษภัยของสงครามไปบ้าง แต่ก็ยังคงเหลือร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองสมกับเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม แม้ว่าความเก่าแก่จะไม่เท่ากับเมืองหลวงอย่างฮานอยที่มีอายุเก่าแก่กว่า 900 ปี แต่เมืองเว้กลับยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและโบราณสถานอันสง่างามไว้ได้อย่างดี

จึงไม่น่าแปลกใจเลยหากชาวเวียดนามจะกล่าวว่า หากอยากรู้จักเวียดนามต้องมาเยือนเมืองนี้ โดยแหล่งท่องเที่ยวสำคัญส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอมที่ไหลผ่านกลางเมืองวัดเทียนมู ถือเป็นวัดที่มีความสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญของเวียดนาม โดยสร้างบนเนินดินตามศิลปะแบบจีนลักษณะเป็นทรงแปดเหลี่ยมสูง 21 เมตร ได้สร้างขึ้นตามความเชื่อพระพุทธศาสนามหายานศูนย์กลางนิกายเชนแห่งแรกของเว้ ภายในมีหอระฆังทรงหกเหลี่ยมที่มีน้ำหนักถึง 2,052 กิโลกรัม เชื่อกันว่าเมื่อตีระฆังแล้วเสียงจะดังไปไกลถึง 10 กิโลเมตร

ขณะที่ปัจจุบันเมืองมรดกโลกอย่าง ฮอยอัน กำลังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วสารทิศ เมืองฮอยอัน อยู่ห่างจากเมืองท่าดานังทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำทูโบน ห่างจากชายฝั่งทะเลเข้ามาตอนในระยะทางไม่กี่กิโลเมตร เมืองเก่าโบราณที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งนี้ ครั้งหนึ่งในอดีตเคยเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ฮอยอันปรากฏอยู่ในแวดวงของนักเดินทางตะวันตกในศตวรรษที่ 17 และ 18 แรกเริ่มเมืองฮอยอันเคยเป็นเมืองท่าชายทะเลในอาณาจักรจามปา เรียกกันในชื่อว่า “ได๋เจียน” โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่ตราเกียว และมีศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่หมี่เซิน ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากฮอยอันมากนัก

สมัยต้นกรุงศรีอยุธยา ศตวรรษที่ 19 ชื่อของฮอยอันได้รับการบันทึกลงในการเดินเรือของชาติตะวันตกในชื่อ ไฟโฟ หรือ ไฮโป และมีชาวต่างชาติเดินเรือเข้ามามากมาย จนฮอยอันกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างตะวันออกและตะวันตก จนเข้าสู่ราวครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 เมืองแห่งนี้ก็โดนเผาราบคาบจากการสู้รบช่วงกบฏไตเซินเหวียนอัน ภายหลังเมื่อเข้าสู่ยุคเริ่มต้นราชวงศ์เหวียน เมืองฮอยอันก็ได้รับการสร้างใหม่ ซึ่งเป็นต้นแบบของอาคารบ้านเรือนอายุสองร้อยกว่าปีอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

เมื่อเข้าสู่ปลายศตวรรษที่ 19 แม่น้ำทูโบนเริ่มตื้นเขิน เนื่องจากตะกอนโคลนเลนสะสมจนไม่อาจนำเรือใหญ่เข้ามาได้ เมืองดานังจึงถูกสร้างขึ้นมาเป็นเมืองท่าแห่งใหม่แทนที่ฮอยอัน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเมืองฮอยอันก็เริ่มลางเลือนไปตามกาลเวลา ทว่ายังคงเป็นเมืองค้าขายเล็ก ๆ จนถึงปี พ.ศ.2459 เส้นทางรถไฟระหว่างฮอยอันและดานังได้รับความเสียหายจากพายุและไมได้รับการซ่อมแซมให้ดีดังเดิม เมืองแห่งการค้าที่สำคัญซึ่งเคยต้อนรับชาวต่างชาติจึงยุบลง

ปี พ.ศ.2542 องค์การยูเนสโกก็ได้ประกาศให้ฮอยอันเป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม เพราะความงดงามและเก่าแก่ของบ้านเมือง รวมทั้งเอกลักษณ์อันโดดเด่นที่ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งนั่นทำให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามายังเมืองแห่งนี้ ประดุจน้ำในแม่น้ำทูโบนที่ไหลหล่อเลี้ยงผู้คนไม่เคยเปลี่ยนแปลง

การเดินทางมาเยือนดินแดนมังกรแห่งจีนตอนใต้ ที่ชื่อ “เวียดนาม” นับเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าเหลือคณานับ เพราะในอดีตดินแดนแห่งนี้เคยผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านสมรภูมิสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน ปัจจุบันได้พลิกโฉมกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ รอการพิสูจน์จากนักเดินทางให้เข้าไปสัมผัสถึงความงามแห่งศิลปวัฒนธรรม ธรรมชาติที่คงความบริสุทธิ์ วิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ เหล่านี้คือเสน่ห์ของดินแดนมังกรแห่งจีนตอนใต้.

บทความโดย
จักรพงษ์ คำบุญเรือง

ร่วมแสดงความคิดเห็น