เพจเฟซบุ๊ก Dr.เช้าตรู่ ซึ่งเป็นคุณหมอ สูตินรีเวช ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยาก เเละผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช ได้โพสต์เตือนบรรดากลุ่มผู้หญิงที่ไม่เคยได้ไปตรวจสุขภาพ หลังจากพบเนื้องอกมดลูกขนาดยักษ์ในตัวของคนไข้ โดยข้อความได้ระบุว่า “เนื้องอกมดลูกยักษ์ รับตรุษจีน” น้ำหนัก 4.5 กิโลกรัม ขนาดเท่าการตั้งครรภ์ 8 เดือน คนไข้รายนี้อายุ 40 ปี ไม่มีอาการผิดปกติใดๆชัดเจน ไม่ปวดท้อง ประจำเดือนมาปกติ สม่ำเสมอ เลือดประจำเดือนมาเท่าๆเดิม มีกลั้นปัสสาวะไม่ค่อยได้เป็นบางครั้ง
แค่รู้สึกว่าช่วง 1-2 ปี สังเกตเห็นว่าท้องโตขึ้นเรื่อย ๆ เข้าใจว่าเพราะตัวเองอ้วนมาโดยตลอด พอดีญาติๆคลำหน้าท้องแล้วพบว่าท้องแข็งๆ จึงแนะนำให้มาตรวจที่รพ. ผลตรวจร่างกายและอัลตร้าซาวน์เบื้องต้นสงสัยเนื้องอกมดลูก แต่เพราะก้อนมีขนาดใหญ่มากมีความเสี่ยงที่อาจจะเป็นมะเร็งและลุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่นในช่องท้องได้ จึงแนะนำให้คนไข้ตรวจละเอียดเพิ่มเติมด้วยการทำ CT scan ช่องท้องทั้งหมด สรุปว่าเป็นเพียงเนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูกขนาดใหญ่เท่านั้น (Myoma uteri หรือ Uterine fibroid) การผ่าตัดค่อนข้างเป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะผมลงแผลผ่าตัดแนวนอน
ข้อดีคือ แผลสวยงามกว่าคนไข้เจ็บแผลหลังผ่าตัดน้อยกว่า และโอกาสที่แผลจะแยกต่ำกว่า
แต่ข้อเสีย ก็คือผ่าตัดยากกว่าแผลแนวตั้งเป็นอย่างมาก เพราะก้อนมีขนาดใหญ่และอยู่สูงเลยกว่าแผลหน้าท้องแนวนอนที่ผ่าตัดเปิดเอาไว้ ทำให้การผ่าตัดควักเอาเนื้องอกมดลูกทั้งก้อนออกมานั้นลำบากมาก ต้องใช้ประสบการณ์การผ่าตัดสูง และทีมงานที่มีฝีมือ แต่การผ่าตัดทุกอย่างก็สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ปลอดภัย สมกับที่ผมได้เตรียมตัววางแผนการผ่าตัดมาเป็นอย่างดี
หลังผ่าตัดเสร็จเรียบร้อย จะเห็นว่า ท้องยุบลงไปเลยชัดเจน น้ำหนักหายไป 4.5 กิโลกรัม เรียกว่าผอมลงทันที อย่าละเลยการตรวจสุขภาพกันเป็นประจำทุกปีนะครับ
เนื้องอกมดลูกคือโรคของกล้ามเนื้อมดลูก โดยการโตของเนื้องอกอาจโตในโพรงมดลูกหรือโตเป็นก้อนนูนจากมดลูก ซึ่งการเติบโตจะค่อย ๆ โตไปอย่างช้า ๆ หรืออาจมีขนาดเท่าเดิม ซึ่งขนาด ตำแหน่ง และจำนวนที่พบจะแตกต่างออกไปในผู้ป่วยแต่ละบุคคล พบได้บ่อยในผู้หญิงอายุ 30-40 ปี ส่วนใหญ่เนื้องอกมดลูกคือไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน แต่ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่สร้างจากรังไข่สามารถกระตุ้นให้เนื้องอกมีขนาดโตขึ้นได้ ในขณะเดียวกันหากเข้าสู่วัยทองหรือหมดประจำเดือนขนาดของเนื้องอกก็สามารถเล็กลงได้
ข้อมูล/รูปภาพจากเพจเฟซบุ๊ก Dr.เช้าตรู่
ร่วมแสดงความคิดเห็น