คุณเคยสงสัยกันไหมว่า การที่เรากำลังนอนซมจากหวัดแล้วเชื้อโรคชนิดไหนที่ทำให้คุณป่วยอยู่หรือเปล่า แม้ว่าแบคทีเรียกับไวรัสจะทำให้คุณไม่สบายได้เหมือน ๆ กัน แต่แบคทีเรียกับไวรัสเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะหลาย ๆ อย่างแตกต่างกันมาก
วันนี้ “เชียงใหม่นิวส์” จะมาบอกถึงความแตกต่างของ เชื้อไวรัส และ เชื้อแบคทีเรีย กันว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร
เชื้อไวรัสคืออะไร ?
ไวรัส (Virus) เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กที่สุดและเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ซับซ้อนที่สุด ไวรัสมีขนาดเล็กกว่าแบคทีเรีย 10-100 เท่า ขนาดของไวรัสเท่ากับ 20 ถึง 300 นาโนเมตร และสามารถทำให้เกิดโรค การติดเชื้อไวรัส หรือ โรคติดเชื้อไวรัสในคนได้หลายโรค
ในร่างกายของเรายังมีไวรัสดีอีกด้วย เช่น แบคเทอริโอฟาจ ซึ่งอาศัยอยู่กับเซลล์แบคทีเรียและฆ่าเซลล์ไม่ดี นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเยลได้ออกแบบไวรัสเพื่อรักษาเนื้องอกในสมองได้ ไวรัสส่วนมากยังไม่ได้รับการรับรองว่าเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ โดยปกติแล้วจะเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์เสียมากกว่า
ไวรัสติดต่อได้อย่างไร ?
ไวรัสสามารถติดต่อเข้าสู่ร่างกายได้ตามทางต่อไปนี้
- ทางการหายใจ เช่น ไวรัสโรคหวัดธรรมดา ไวรัสโรคไข้หวัดใหญ่ ไวรัสโรคไข้หวัดนก ไวรัสที่ทำให้เกิดปอดอักเสบ ไวรัสโรคหัด จะติดต่อทางลมหายใจ ไอ จาม รดกัน การจูบกับคนที่เป็นโรค โดยไวรัสจะอยู่ในเซลล์ที่ปะปนออกมากับน้ำมูกน้ำลายที่ผู้ป่วยปล่อยออกมา
- ทางเลือด เช่น โรคเอดส์ โรคไวรัสตับอักเสบทุกชนิด เช่น ได้รับเลือดที่มีเชื้อจากการรับเลือด ถูกเข็มฉีดยาที่เปื้อนเลือดผู้ป่วยแทงที่ผิวหนัง เลือดที่มีเชื้อไวรัสเข้าปาก เป็นต้น
- ทางการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคหรือเป็นพาหะโรค (Carrier) ของเชื้อไวรัส เช่น โรคเอดส์ โรคหูดหงอนไก่ ซึ่งมีสาเหตุมาจากไวรัส HPV เช่น การติดเชื้อ HPV อวัยวะเพศหญิง โรคเริมอวัยวะเพศ ซึ่งมีสาเหตุจาก ไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ชนิดที่ 2 (Herpes simplex virus type 2)
- ทางการตั้งครรภ์โดยเชื้อไวรัสแพร่จากแม่ไปสู่ลูก เช่น เชื้อไวรัส HIV เชื้อไวรัสตับอักเสบ เชื้อไวรัส CMV โรคหัดเยอรมัน
- ทางการสัมผัสทางผิวหนังโดยตรง เช่น ไวรัสโรคอีสุกอีใส โรคไข้ทรพิษ
- ทางการถูกสัตว์ที่เป็นโรคกัด เช่น ไวรัสโรคกลัวน้ำ หรือ โรคพิษสุนัขบ้า สามารถเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลที่ถูก สุนัข แมว ค้างคาวกัด เป็นต้น
- เข้าทางตา เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคตาแดงจากไวรัส (Viral conjunctivitis)
- ทางยุงกัด เช่น ไวรัสสมองอักเสบ ไวรัสโรคไข้เลือดออกเด็งกี่ (Dengue hemorrhagic fever) ที่พบอยู่เสมอในประเทศไทย
- เข้าทางปาก เช่น ไวรัสโรต้า หรือ โรคท้องร่วงจากไวรัสโรตา (Rota virus) ซึ่งทำให้เกิดโรคท้องร่วง หรือ ท้องเสีย (Diarrhea) และไวรัสโปลิโอ (Polio virus) ที่ทำให้เกิดโรคแขนขาลีบ หรือ โรคโปลิโอ เป็นต้น
โรคที่พบบ่อยที่เกิดจากเชื้อไวรัส
โรคติดเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อย เช่น
- โรคหวัดธรรมดา โรคไข้หวัดใหญ่
- โรคหัด โรคคางทูม โรคอีสุกอีใส โรคโปลิโอ โรคหัดเยอรมัน และโรคไข้เลือดออก
- โรคพิษสุนัขบ้า โรคไข้สมองอักเสบ โรคไข้ทรพิษ
- โรคเริม โรคงูสวัด โรคไวรัสตับอักเสบ โรคตาแดงจากไวรัส
- โรคเอดส์
การรักษาโรคไวรัส
- การรักษาหลักของโรคติดเชื้อไวรัส คือ การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ การดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ กินยาลดไข้ ยาแก้ปวด เพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคเกิดขึ้น ซึ่งจะกำจัดไวรัสได้เอง
- ยาปฏิชีวนะฆ่าไวรัสไม่ได้ ฆ่าได้แต่แบคทีเรีย ดังนั้น จึงไม่มีการใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคติดเชื้อไวรัส ยกเว้น มีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้อน เช่น เป็นโรคหวัด และมีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้อนก่อให้เกิดไซนัสอักเสบ เป็นต้น
การดูแลตนเองเมื่อติดเชื้อไวรัส
การดูแลตนเองเมื่อติดเชื้อไวรัสที่สำคัญ คือ การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง ลดโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียซ้อน และลดการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น รวมทั้งการไม่คลุกคลีกับผู้อื่น นอกจากนั้น คือ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ พยาบาล
- กินยา หรือ ใช้ยาที่แพทย์แนะนำให้ถูกต้องครบถ้วน ไม่ขาดยา
- เมื่อมีไข้ ควรต้องหยุดงาน หยุดเรียนจนกว่าไข้จะลงอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพราะช่วงมีไข้มักเป็นช่วงแพร่กระจายเชื้อได้สูง
- ใช้หน้ากากอนามัยเมื่อมีอาการไอ
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ วันละอย่างน้อย 8-10 แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม
- กินอาหารอ่อน
- พบแพทย์ตามนัด หรือ หากอาการไม่ดีขึ้น หากมีอาการทางสมอง เช่น ปวดศีรษะมาก แขนขาอ่อนแรง กล้ามเนื้อไม่มีแรง คอแข็ง สับสน ซึม ชัก หรือมีอาการทางการหายใจ เช่น หายใจลำบาก หอบเหนื่อย ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน
เชื้อแบคทีเรียคืออะไร ?
แบคทีเรีย ถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็ก สามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา ที่มีกำลังขยายเท่า แบคทีเรียมีอยู่ทั่วไปทั้งภายนอก และภายในร่างกาย แบคทีเรียที่มีอันตราย เมื่อเข้าสู่ร่างกาย ทางบาดแผล หรือเข้าไปพร้อมกับอาหารที่เรารับประทานเข้าไป หรือเข้าไปกับอากาศที่เราหายใจเข้าไป แล้วแบคทีเรียเจริญเติบโตมีปริมาณมากขึ้น จนทำให้เกิดโรคติดเชื้อขึ้นได้ เช่น แผลเป็นหนอง อุจจาระร่วงจากอาหารเป็นพิษ หรือโรคปอดบวม หรือปอดอักเสบติดเชื้อ เป็นต้น
แบคทีเรียติดต่อได้อย่างไร ?
โรคจากแบคทีเรียเป็นโรคติดต่อ เราสามารถติดเชื้อแบคทีเรียได้หลายทาง ได้แก่
- ทางการหายใจ โดยหายใจเอาเชื้อแบคทีเรียในอากาศเข้าไป ในทางเดินหายใจและปอดของเรา เช่น การติดเชื้อวัณโรค การอยู่ใกล้ชิดกับคนที่มีเชื้อแบคทีเรียในทางเดินหายใจ ไอ จาม หรือจูบปากสามารถนำไปสู่การติดเชื้อได้
- ทางการกินอาหารและดื่มน้ำที่มีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อน เช่น โรคอาหารเป็นพิษ โรคบิด โรคท้องร่วง (ท้องเสีย) โรคไทฟอยด์ และอหิวาตกโรค เป็นต้น
- ทางการสัมผัสผิวหนังของคนที่เป็นโรค เช่น โรคเรื้อน
- ทางการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกัน เช่น โรคหนองในและโรคแผลริมอ่อน
- ทางการเป็นแผลที่สัมผัสกับดิน มีดบาดโดยมีดสกปรก แบคทีเรียในสิ่งแวดล้อมเข้าทางบาดแผลที่ผิวหนังเกิดการอักเสบเป็นหนองตามมา
- ทางฟันผุ ฟันที่ผุเป็นที่อยู่อาศัยของเชื้อแบคทีเรียได้ดี และอาจเข้าสู่กระแสเลือดทางฟันที่ผุนั้น จากนั้นแบคทีเรียจะไปเกาะติดที่ลิ้นหัวใจทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อแบคทีเรียที่ลิ้นหัวใจได้ (Infective endocarditis)
- จากการทำแท้งที่ไม่สะอาด การทำแท้งโดยขูดมดลูกด้วยเครื่องมือที่สกปรกมีเชื้อแบคทีเรียปะปน สามารถเกิดการติดเชื้อรุนแรงในโพรงมดลูกได้และมักรุนแรงถึงต้องตัดมดลูก หรือ เป็นอันตรายถึงชีวิต
- จากการสักผิวหนัง แกะสิว เจาะหู แคะหู ตัดเล็บ ทำเล็บโดยใช้เครื่องมือไม่สะอาด มีเชื้อแบคทีเรียปะปน เกิดการอักเสบเป็นหนองตามตำแหน่งเหล่านั้นได้
- จากการใช้เข็มฉีดยาสกปรก ฉีดเข้าหลอดเลือดเช่น ฉีดยาเสพติด เชื้อแบคทีเรียที่เข้าหลอดเลือดนั้นสามารถไปเกาะที่ลิ้นหัวใจทำให้เกิดโรคลิ้นหัวใจอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียได้
- จากเชื้อไชเข้าทางผิวหนังโดยตรง เช่น โรคฉี่หนู (Leptospirosis) ซึ่งมักอยู่ตามพื้น ดินในนาข้าว สามารถเข้าสู่ร่างกายได้ถ้าเดินในนาโดยไม่สวมใส่รองเท้า
โรคที่พบบ่อยจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
โรคจากติดเชื้อแบคทีเรียมีเป็นจำนวนมากมาย ที่พบบ่อยในบ้านเรา ได้แก่
- อหิวาตกโรค
- โรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ
- โรคไอกรน
- โรคบาดทะยัก
- โรคฉี่หนู
- โรคไทฟอยด์
- วัณโรค
- โรคต่อมทอนซิลอักเสบ
- โรคหูส่วนกลางอักเสบเป็นหนอง
- โรคไส้ติ่งอักเสบ
- โรคหนองใน
อาการเมื่อติดเชื้อแบคทีเรีย
อาการพบบ่อยจากติดเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่
- มีไข้ เป็นอาการสำคัญที่สุด ที่มักจะเกิดขึ้นในการติดเชื้อแบคทีเรียเกือบทุกชนิด ลักษณะการเกิดไข้จะแตกต่างกันไปในแต่ละโรคและแต่ละชนิดของเชื้อแบคทีเรีย
- หนอง มักเกิดในการติดเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด ลักษณะของหนองอาจเกิดที่แผลมีหนองไหลออกมา หรือเป็นฝี หรือมีน้ำมูก หรือเสมหะสีเขียวข้นหรือเหลือง ก็เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแล้วทั้งสิ้น ตัวอย่างเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง ได้แก่ สเตรปโตคอคคัส (Streptococcus) และ สแตฟิโลคอคคัส (Staphylococcus) เป็นต้น
- อาการปวดเจ็บ ในบริเวณที่มีการติดเชื้อ เช่น ปวดท้องน้อยด้านขวาในโรคไส้ติ่งอักเสบ
- อาการบวม จากการติดเชื้อเกิดได้ทั้งอวัยวะภายนอก เช่น ผิวหนังบวมและปวด หรืออวัยวะภายในบวมเช่น ปอดที่ติดเชื้อแบคทีเรียจะบวมใหญ่ เรียกว่า โรคปอดบวม
การรักษาโรคจากติดเชื้อแบคทีเรีย
วิธีรักษาโรคจากติดเชื้อแบคทีเรียมี 4 วิธี ได้แก่
- ยาปฏิชีวนะ การรักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียส่วนใหญ่ จะใช้ยาปฏิชีวนะ เพื่อฆ่าทำลายเชื้อโรค เป็นวิธีสำคัญที่สุด
- การรักษาโดยการผ่าตัด เช่น กรณีเกิดฝี (Abscess) การรักษาจำเป็นต้องผ่าฝีด้วย
- การรักษาโดยการให้ภูมิคุ้มกันต้านทานโรค เช่น โรคบาดทะยัก เมื่อผู้ป่วยเป็นบาดทะยักแล้วการให้น้ำเหลืองที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานที่เรียกว่า เซรุ่ม (Serum) ซึ่งอาจผลิตจากสัตว์ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคนั้น ๆ หรือ โดยวิธีทางการเพาะเลี้ยงเซลล์ จะสามารถยับยั้งพิษของเชื้อโรคบาดทะยักต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อได้ รวมทั้งการฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักที่เรียก ว่า Tetanus toxoid ก็เป็นวิธีกระตุ้นให้ร่างกายของผู้ป่วยสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานที่เรียกว่า สารภูมิต้านทาน หรือ แอนติบอดี (Antibody) ต่อเชื้อบาดทะยักได้ด้วยตนเองอีกทางหนึ่ง
- การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น รักษาอาการไข้ด้วยยาลดไข้พาราเซตามอล หรือ การให้สารน้ำทางหลอดเลือดเมื่อผู้ป่วยกินได้น้อย เป็นต้น
ความรุนแรงจากโรคติดเชื้อแบคทีเรีย
โรคจากแบคทีเรียถือว่าเป็นโรครุนแรง เพราะมีความสามารถที่จะแพร่กระจายทางหลอดน้ำเหลืองและทางหลอดเลือดไปในอวัยวะอื่น ๆ หรือทั่วร่างกายได้ จนเมื่อรุนแรงที่สุดสามารถทำให้เสียชีวิตได้
สิ่งที่จะกำหนดความรุนแรงในการติดเชื้อแบคทีเรียในผู้ป่วยแต่ละคนขึ้นอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- ชนิดของเชื้อแบคทีเรีย ว่าเป็นชนิดใด มีความสามารถในการสร้างสารพิษหรือไม่ ถ้าเป็นแบคทีเรียที่สร้างสารพิษได้ โรคจะรุนแรงมากกว่า อีกกรณีหนึ่ง ถ้าเชื้อพัฒนาตนเองจนสามารถทนต่อยาปฏิชีวนะได้ หรือที่เรียกว่า เชื้อดื้อยา จะรักษายากกว่าเชื้อที่ไม่ดื้อยา โรคจะลุก ลามรุนแรงได้
- ติดเชื้อที่อวัยวะ ถ้าเกิดการติดเชื้อที่อวัยวะสำคัญ เช่น สมอง ลิ้นหัวใจ ปอด ไต ตับ ตา หรือ กระดูก โรคมักจะรุนแรงและทำให้เกิดความเสียหาย หรือความพิการของอวัยวะนั้น ๆ มากกว่าอวัยวะอื่น ๆ แต่ถ้าเป็นการติดเชื้อที่ผิวหนัง ฟัน ช่องปาก ต่อมทอนซิล อาการจะไม่รุนแรงมาก และสามารถรักษาให้หายได้ง่ายกว่า
- การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายของผู้ป่วยเป็นอย่างไร ถ้าผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต้านทานต่อเชื้อนั้นอยู่แล้ว จะทำให้ทำลายเชื้อโรคได้เร็วขึ้น แต่ถ้าผู้ป่วยมีการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันต้านทานไม่ดี หรือบกพร่อง เช่น เป็นโรคเบาหวาน โรคติดเชื้อHIV หรือ โรคเอดส์ หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกันต้านทาน เช่น ยาพวกสเตียรอยด์ ยาสารเคมีรักษาโรคมะเร็งในเด็กอ่อน หรือในผู้สูงอายุ เหล่านี้ จะทำให้ร่างกายไม่สามารถต้านทานหรือต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดี โรคจึงรุนแรงมากกว่าคนปกติ
การป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย
ป้องกันติดเชื้อแบคทีเรียได้โดย
- รักษาความสะอาดส่วนบุคคล เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในการป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น การล้างมือฟอกสบู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง จะป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียที่ติดจากมือที่สกปรกเข้าทางปากได้ ล้างมือหลังอุจจาระ และปัสสาวะทุกครั้ง อาบน้ำให้ร่างกายสะอาดทุกวัน เลือกดื่มน้ำและรับประทานอาหารที่สะอาดและปรุงสุกแล้ว เพราะอาหารที่ปรุงไม่สุกอาจจะมีเชื้อแบคทีเรียปะปนมาได้
- รู้จักป้องกันตนเองจากผู้ป่วยที่ติดเชื้อ เช่น ใช้หน้ากากอนามัย ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ และไม่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโดยไม่จำเป็น
- รักษาสิ่งแวดล้อม บ้านเรือนให้สะอาด อย่าให้เป็นที่สะสมและเพาะเชื้อแบคทีเรียได้
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ เช่น ไม่กลั้นปัสสาวะเพื่อป้องกันการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ ไม่กินยากดภูมิต้านทานโดยไม่จำเป็น เช่น ยาพวกสเตียรอยด์ ที่ผสมในยาชุดหรือยาลูกกลอน ถ้ามีโรคประจำตัวที่ทำให้ติดเชื้อง่าย เช่น โรคเบาหวาน ก็ควรทานยาควบคุมน้ำตาลอย่าให้ขาด เพราะการมีน้ำตาลในเลือดสูงจะทำให้ติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรค ที่มีวัคซีนป้องกันตามคำแนะนำของแพทย์ พยาบาล และกระทรวงสาธารณสุข เช่น วัคซีนป้องกันโรคไอกรน และวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก เป็นต้น
สรุป
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าการใช้ยาปฏิชีวนะสามารถรักษาได้ทั้งการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย แต่จริง ๆ แล้ว การติดเชื้อไวรัสส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาตามอาการในระหว่างที่ระบบภูมิคุ้มกันกำลังกำจัดเชื้อโรค หรืออาจใช้ยาต้านเชื้อไวรัส
ส่วนการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยปกติแล้วจะรักษาด้วยยาปฏิชีวนะในกลุ่มหลัก ซึ่งจำเป็นต้องใช้ด้วยความระมัดระวังและปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะอาจทำให้เกิดเชื้อดื้อยา เกิดการติดเชื้อและเชื้อแพร่กระจายได้ง่าย หรืออาจไม่สามารถใช้ยาปฏิชีวนะชนิดนั้น ๆ ได้ในการรักษาภาวะติดเชื้อแบคทีเรียครั้งต่อไป
เรียบเรียงโดย : “เชียงใหม่นิวส์”
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ไข้หวัดใหญ่
- โรคอาหารเป็นพิษ
- โรคเบาหวาน
- หน้ากากอนามัย
ร่วมแสดงความคิดเห็น