รู้ทัน “รังแค” เพื่อรักษา และป้องกัน

ช่วงนี้เชียงใหม่บ้านเราอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ตอนเช้า ๆ อากาศเย็น พอตอนบ่ายกลับร้อนอบอ้าว อากาศเปลี่ยนแปลงแบบนี้ทุกวัน คุณรู้หรือไม่ว่าอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยนั้นเป็นสาเหตุหนึ่งของปัญหารังแค ปัญหารังแคทำให้คุณขาดความมั่นใจ เพราะต้องคอยกังวลว่าบนไหล่จะมีเศษรังแคร่วงลงมาตอนไหน ยิ่งถ้าต้องใส่เสื้อสีเข้ม ๆ แล้วล่ะก็ วันนั้นทั้งวันคุณจะอยู่อย่างไม่มีความสุขแน่นอนค่ะ

วันนี้ “เชียงใหม่นิวส์” จะพาคุณไปรู้จักกับรังแค ว่ารังแคคืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไร และมีทางรักษาอย่างไรบ้าง เพื่อให้คุณได้ป้องกันและรักษารังแคอย่างถูกวิธี จะมีอะไรบ้างนั้นไปดูกันเลยค่ะ

รังแค คืออะไร?

เป็นภาวะเรื้อรังที่เกิดขึ้นกับหนังศีรษะและพบได้บ่อยกับคนทุกเพศทุกวัย เกิดจากการที่ผิวหนังเกิดการผลัดเซลล์ผิวที่เร็วหรือมากกว่าปกติ ก่อให้เกิดอาการคัน หนังศีรษะแห้ง การเกิดรังแคสามารถเกิดได้ทั่วทั้งบริเวณศีรษะ ไม่ใช่แค่บริเวณใดบริเวณหนึ่ง อย่างไรก็ตาม รังแคไม่ใช่โรคติดต่อและไม่เป็นอันตราย และส่วนใหญ่สามารถรักษาและควบคุมอาการได้ไม่ยาก

ปัญหารังแค สังเกตได้ด้วยตัวคุณ

1.มีสะเก็ดสีเหลืองหรือขาว มีลักษณะมันวาวเป็นแผ่นแบนหรือแผ่นบาง ๆ หลุดออกมาจากหนังศีรษะ มักพบเห็นที่บริเวณหนังศีรษะ เส้นผม และไหล่
2.หนังศีรษะมันและแดง เป็นสะเก็ด มีอาการคันที่บริเวณหนังศีรษะร่วมด้วย
3.มักจะพบว่าเป็นมากในช่วงฤดูหนาวและอาการจะดีขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน

สาเหตุของการเกิดรังแค มีอะไรบ้าง?

1.เกิดจากเชื้อรา ที่เรียกว่า เชื้อยีสต์ (Malassezia หรือ Pityrosporum) โดยปกติแล้ว เชื้อราเหล่านี้จะอาศัยอยู่ที่บริเวณหนังศีรษะของเราอยู่แล้ว โดยอาศัยการกินน้ำมันที่สร้างมาจากต่อมรากผมและต่อมไขมันเป็นอาหาร แต่หากเมื่อใดที่เชื้อราเหล่านี้มีการเจริญเติบโตรวดเร็วผิดปกติ จะทำให้เกิดการสร้างและผลัดเซลล์ผิวที่เร็วกว่าปกติด้วยเช่นเดียวกัน


2.ต่อมไขมันใต้หนังศีรษะผลิตน้ำมันมากเกินไป ส่งผลให้มีการกระตุ้นเชื้อรา จนมีการเจริญเติบโตที่เร็วกว่าปกติ


3.ความไม่สมดุลทางฮอร์โมน เมื่อร่างกายมีระดับฮอร์โมนแบบไม่คงที่ จะมีผลต่อการทำงานของต่อมภายในร่างกาย ร่วมทั้งต่อมไขมัน โดยจะทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติตามมา

4.การมีผิวและหนังศีรษะที่แห้ง จะก่อให้เกิดการผลัดผิวเร็ว จนตกสะเก็ดหลุดลอกออกมาเป็นแผ่น ๆ ได้

5.ไม่ค่อยสระผม เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดรังแค เพราะเมื่อไม่สระผมจะทำให้เกิดการสะสมของน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วบนหนังศีรษะเพิ่มขึ้น จนนำมาซึ่งการสะสมของรังแคเพิ่มตามด้วย

6.สภาพอากาศ โดยเกิดจากสภาพอากาศหนาวเย็นหรืออากาศร้อนแห้ง โดยส่วนมากคนมักจะเป็นรังแคช่วงฤดูหนาว

7.การใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม เช่น มูส สเปรย์ เจล เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจจะมีส่วนผสมของสารที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองกับหนังศีรษะได้

8.ขาดสารอาหารบางประเภท เช่น ขาดวิตามินบี ซิงก์ (สังกะสี) หรือไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างเช่น โอเมก้า 3

9.ความเครียด ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดรังแคได้ เนื่องจากความเครียดจะส่งผลทำให้ฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวนจนขาดความสมดุล

10.ดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ก็มีส่วนทำให้เกิดรังแคได้เช่นกัน

ปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสเป็นรังแคเพิ่มขึ้น

1.เพศและอายุ รังแคสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย ปกติมักจะเกิดกับวัยหนุ่มสาวจนไปถึงวัยกลางคน แต่สำหรับบางรายสามารถเป็นได้ตลอดชีวิต นอกจากนั้น จากการวิจัยพบว่าเพศชายมีโอกาสเป็นรังแคได้มากกว่าเพศหญิง โดยมีฮอร์โมนเพศชายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดรังแค

2.มีน้ำมันที่เส้นผมและหนังศีรษะมาก เชื้อรามาลาสซีเซียสามารถเติบโตได้จากน้ำมันบนหนังศีรษะ เมื่อเชื้อราชนิดนี้มีมากกว่าปกติก็จะทำให้เกิดรังแค

3.โรคบางชนิด เช่น โร๕ผิวหนังอักเสบ โรคสะเก็ดเงิน เชื้อราบนหนังศีรษะ โรคพาร์กินสัน ทำให้มีโอกาสเกิดรังแค รวมไปถึงการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) หรือภาวะที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ก็อาจทำให้เกิดรังแคได้เช่นกัน

4.ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดรังแค ได้แก่ กรรมพันธุ์, การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน, การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป, รับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง เผ็ด หรือมีเกลือมาก, การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น กรดไขมัน และวิตามินบี, การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และความเครียด

เป็นรังแค รักษาอย่างไร?

1.ใช้แชมพูยาขจัดรังแค สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป และควรสระผมทุกวันเพื่อกำจัดน้ำมันส่วนเกิน โดยควรเลือกใช้แชมพูขจัดรังแคสูตรอ่อนโยนหรือแชมพูที่มีส่วนผสมของยา เช่น ซิงค์ไพริไทออน (zinc pyrithione), คีโทโคนาโซล (ketoconazole), ซีลีเนี่ยมซัลไฟด์ (selenium sulfide) และไพรอคโทน โอลามีน (Piroctone Olamine)

2.อย่าใช้เล็บเกาหนังศีรษะระหว่างสระผม เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ ควรนวดหนังศีรษะเบา ๆ ด้วยปลายนิ้ว เพื่อช่วยขจัดสิ่งตกค้างและเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดที่หนังศีรษะให้ดียิ่งขึ้นด้วย

3.หลังสระผมควรเช็ดผมให้แห้งทุกครั้ง โดยใช้ผ้าขนหนูที่สะอาดค่อย ๆ ซับเบา ๆ ที่ผมให้แห้ง หรือปล่อยให้แห้งเองตามธรรมชาติก็ได้ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความอับชื้นที่อาจจะเป็นต้นเหตุของการเกิดของเชื้อรา ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงการขยี้ผมแรง ๆ

4.หวีผมเบา ๆ และใช้หวีที่มีซี่ห่างกัน โดยให้เริ่มหวีจากบริเวณรากผมไปตามความยาวของเส้นผม เพื่อเป็นการกระจายน้ำมันจากหนังศีรษะไปหล่อเลี้ยงความชุ่มชื้นให้ทั่วเส้นผม ไม่ควรใช้หวีที่มีความแข็งและมีซี่ถี่เกินไป เพราะอาจจะเกิดการดึงเส้นผมที่แรง จนทำให้เกิดการขาดร่วงของเส้นผมมากขึ้น

5.หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกับหนังศีรษะ เช่น การทำสี การยืด การดัดผม หรือการใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เพราะเป็นอันตรายต่อหนังศีรษะและเส้นผม โดยจะทำให้เกิดสารเคมีสะสม ซึ่งอาจก่อให้เกิดความระคายเคืองแก่หนังศีรษะได้ และยังเป็นปัจจัยเสริมทำให้เกิดรังแคเพิ่มขึ้นอีกด้วย

6.หมั่นรักษาความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้กับผมหรือศีรษะ โดยควรหมั่นทำความสะอาดหมอน หรือปลอกหมอน หรือหมวกกันน็อกเป็นประจำ หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยลดการสะสมของเชื้อรา

7.เมื่ออยู่ในห้องแอร์ ควรปรับอุณหภูมิห้องให้เหมาะสมประมาณ 25 องศา และไม่ควรให้ลมจากเครื่องปรับอากาศโดยหนังศีรษะโดยตรง อาจจะทำให้หนังศีรษะเสียสมดุลทำให้อาการรังแคหายยากขึ้น

8.หากใช้แชมพูขจัดรังแคมาเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน และอาการไม่ดีขึ้นหรืออาการแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

กำจัดรังแคด้วยของใกล้ตัว

1.ยาแอสไพริน มีสารออกฤทธิ์เดียวกันกับ Salicylic Acid ซึ่งช่วยขจัดรังแคได้ วิธีใช้คือ บดยาแอสไพริน 2 เม็ด ผสมกับแชมพูปกติ ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วนำมาสระผม

2.น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันมะพร้าว ใช้หมักผมประมาณ 15-20 นาทีก่อนสระผมตามปกติ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้หนังศีรษะ

3.Tea Tree Oil หยดผสมกับแชมพูที่ใช้เป็นประจำ 3-4 หยด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขจัดรังแคให้แชมพูของคุณ

4.ขิง ปลอกขิงแล้วนำมาขูด คั้นเอาแต่น้ำขิง ผสมกับน้ำมันงาเล็กน้อย นำมานวดหนังศีรษะ ทิ้งไว้สักครู่ แล้วล้างออก ขิงที่ผสมน้ำมันสามารถขจัดรังแคได้ ทั้งยังช่วยเร่งการเจริญเติบโตของเส้นผมได้อีกด้วย

5.ใบสะเดา มีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการคัน และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราได้ ให้ปั่นใบสะเดาสดให้ละเอียด นำมาหมักที่หนังศีรษะประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วสระผมตามปกติ

6.พริกไทยดำ อุดมไปด้วยสังกะสี (Zinc) และซีลีเนียม (Selenium) ที่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านรังแค โดยผสมพริกไทยดำ 2 ช้อนชากับโยเกิร์ต 1 ถ้วย คนให้เข้ากัน ทาลงบนหนังศีรษะ ทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง แล้วสระผมตามปกติ

7.น้ำผึ้งดิบ หรือน้ำผึ้งที่ไม่ผ่านความร้อน ช่วยขจัดรังแค และป้องกันการเกิดใหม่ของรังแคได้ โดยผสมน้ำผึ้งกับน้ำเปล่าเพื่อลดความเข้มข้นของน้ำผึ้งลง ทาและนวดหนังศีรษะประมาณ 3-5 นาที และหมักทิ้งไว้ 3 ชั่วโมง แล้วล้างออก

8.เบคกิ้งโซดา ช่วยกำจัดเชื้อราที่ทำให้เกิดการระคายเคืองได้ โดยผสมกับน้ำเปล่าจนคล้ายแป้งเปียก ทาและนวดหนังศีรษะประมาณ 2-3 นาที ล้างออกแล้วสระผมตามปกติ

9.เกลือ เป็นการช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หรือรังแคคออกจากหนังศีรษะ โดยการทาเกลือลงบนหนังศีรษะที่เปียก นวดสักพัก ล้างออก แล้วสระผมตามปกติ

วิธีการป้องกันรังแค

1.ควรสระผมด้วยแชมพูขจัดรังแคเป็นประจำ แต่ไม่ควรสระผมบ่อยจนเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการระคายเคืองและไม่ให้หนังศีรษะแห้งจนเกินไป

2.หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผมและหนังศีรษะที่มีส่วนประกอบของสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์หรือสารฟอกขาว เพราะส่วนผสมดังกล่าวสามารถทำให้หนังศีรษะแห้งได้ นอกจากนั้น ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เกิดความมันบนหนังศีรษะ เพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดรังแค

3.ควรออกไปสัมผัสกับแสงแดดเล็กน้อยเป็นประจำทุกวัน เพราะจากการศึกษาพบว่าแสงแดดสามารถช่วยควบคุมการเกิดรังแคได้

4.เนื่องจากความเครียดเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดรังแคหรือทำให้มีอาการที่แย่ลง และยังส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม ดังนั้นควรหาทางจัดการกับความเครียดด้วยวิธีผ่อนคลายต่าง ๆ เช่น การฝึกหายใจ โยคะ หรือการทำสมาธิ

สรุป

แม้ว่าปัญหารังแค จะเป็นปัญหากวนใจและทำลายความมั่นใจของใครหลายคนก็ตาม แต่หากคุณได้ศึกษาข้อมูลของรังแคแล้ว ก็จะเข้าใจว่ารังแคเกิดจากอะไร และมีวิธีรักษาป้องกันอย่างไรบ้าง ซึ่งหากคุณปฏิบัติตามคำแนะนำจากเรา ไม่เพียงแค่รังแคจะลดลงเท่านั้น แต่คุณยังได้ผมสวย สุขภาพดีมาเป็นของแถมอีกด้วย

เรียบเรียงโดย: “เชียงใหม่นิวส์”
อ้างอิงข้อมูลจาก: akerufeed, honestdocs และ pobpad
ขอบคุณภาพจาก: komkid

บทความที่เกี่ยวข้อง

เรื่องของผม! ความสำคัญของเส้นผมต่อวิถีชีวิตในอดีต

ร่วมแสดงความคิดเห็น