วิตามินซี กับกระแสผิวขาวที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน

ช่วงนี้อากาศที่เชียงใหม่เปลี่ยนแปลงบ่อยมาก ตอนเช้าอากาศเย็น ตกบ่ายมาอากาศเปลี่ยนเป็นร้อนจนเหงื่อไหล ตอนเย็นก็กลับมาหนาว ประกอบกับปัญหาฝุ่นควันอีก สภาพอากาศค่อนข้างแย่ คุณคงเคยได้ยินเรื่องการกินวิตามินซีเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย หรือกินวิตามินซีเพื่อผิวขาว ความคิดเหล่านี้จะเป็นจริงหรือไม่ แล้ววิตามินซี หากกินมากเกินไปจะมีโทษอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

วิตามินซี คืออะไร?

วิตามินซี หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า กรดแอสคอบิค (Ascobic Acid) เป็นวิตามินที่ร่างกายมนุษย์นั้นไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ ซึ่งแตกต่างจากสัตว์ส่วนใหญ่ที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามินซีได้เอง จึงจำเป็นต้องได้รับจากการกินเข้าไป

เรื่องควรรู้ เกี่ยวกับวิตามินซี

วิตามินซี มีหน่วยวัดเป็นมิลลิกรัม (มก. หรือ mg.)

1.วิตามินซี มีคุณสมบัติละลายน้ำ จึงสามารถซึมซับเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยขับสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งยังบำรุงผิวพรรณให้ขาวกระจ่างใส ลดปัญหาสิว ฝ้า กระ หมดกังวลเรื่องผิวเสียไปได้เลย

2.มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจน และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพให้มีความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ทั้งช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูเนียนใส สัมผัสได้ถึงความเนียนนุ่มเหมือนผิวเด็ก พร้อมฟื้นบำรุงผิวที่แห้งกร้านจากการถูกแดดเผา ให้กลับมาเรียบเนียนและดูมีสุขภาพผิวดีอีกครั้ง

3.ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุเหล็ก เหมาะกับคนที่ขาดธาตุเหล็กหรือร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้น้อย โดยวิตามินซีจะทำให้ร่างกายของเรามีความสามารถในการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น และได้รับปริมาณของธาตุเหล็กและวิตามินซีที่เพียงพอในแต่ละวัน

4.ความเครียดจะทำให้วิตามินซีถูกสลายไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากวิตามินซีจะถูกดึงไปใช้เพื่อปรับสภาพอารมณ์ในปริมาณมาก ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียดและหมั่นทำกิจกรรมเพื่อการผ่อนคลายบ่อย ๆ เพื่อให้วิตามินถูกนำไปใช้อย่างน้อยที่สุด

5.วิตามินซีมีศัตรูคือ แสง ออกซิเจน บุหรี่ ความร้อนและน้ำ ซึ่งหากได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้นาน ๆ จะทำให้วิตามินซีสลายไปอย่างรวดเร็ว และทำให้ร่างกายขาดวิตามินซีในที่สุด

6.สำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานชนิด 2 หรือผู้ที่มีความดันโลหิตสูง สามารถลดความดันได้เพียงแค่รับประทานวิตามินซีวันละ 500 มิลลิกรัมเท่านั้น

7.ผู้ที่รับประทานโสม, ยารักษาโรคบาหวาน และคนไข้โรคมะเร็งที่กำลังฉายรังสีหรือเคมีบำบัด ไม่ควรกินวิตามินซี

ปริมาณที่ควรได้รับวิตามินซีต่อวัน

ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมแนะนำว่า ปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับ คือ 100-200 มิลลิกรัม/วัน ในคนปกติ ส่วนในหญิงตั้งครรภ์, ผู้สูบบุหรี่, ผู้ที่เตรียมตัวผ่าตัด, ผู้ป่วยหลังผ่าตัด, ผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิดเป็นประจำ, ผู้ป่วยที่มีการใช้ยาแอสไพริน หรือผู้สูงอายุ ควรได้รับวิตามินซีมากขึ้นประมาณ 500 มิลลิกรัม /วัน จากการวิจัย พบว่าร่างกายจะสูญเสียวิตามินซี 25 – 100 มิลลิกรัมต่อการสูบบุหรี่หนึ่งมวน แต่สำหรับผู้กินวิตามินซีเพื่อป้องกันโรคต่าง ๆ ควรได้รับไม่เกินวันละ 1,000 มิลลิกรัม/วัน

กินวิตามินซีตอนไหน ได้ประโยชน์มากที่สุด?

ภญ.วริยา สารรัตนะ ได้ให้คำตอบไว้ในเว็บไซต์ของหน่วยคลังข้อมูลยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ว่า จริง ๆ แล้วสามารถรับประทานเวลาใดก็ได้ขึ้นอยู่กับความสะดวก แต่แนะนำว่าอย่าทานตอนท้องว่าง เนื่องจากวิตามินซีมีฤทธิ์เป็นกรด ดังนั้นจึงควรทานพร้อมอาหาร หรือหลังอาหารจะดีที่สุด เพราะอาหารจะเป็นตัวช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินซีไปใช้ได้ และเป็นการป้องกันการระคายเคืองกระเพาะอาหารอีกด้วย

ทั้งนี้ อาจแบ่งรับประทานวิตามินซีตามมื้ออาหารก็ได้ เช่น วันละ 2 เวลาหลังอาหาร หรือ วันละ 3 เวลาหลังอาหาร จะทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมวิตามินซีได้ดีกว่าการรับประทานทั้งหมดในครั้งเดียว

วิตามินซีทำให้ผิวขาวจริงหรือ?

เป็นไปได้จริง ด้วยหลักการทำงานของวิตามินซี ที่มีส่วนช่วยลดการเกิดขึ้นของเม็ดสีเมลานิน แก้ปัญหาจุดด่างดำ เมื่อกินไปนาน ๆ เข้า ก็ทำให้ผิวดูขาวมากขึ้นกว่าผิวเดิม แต่ก็ไม่ได้ขาวเกินสีผิวเดิมสักเท่าไหร่ ส่วนความใสของผิวหน้าหลังจากที่กินวิตามินซีก็มีส่วนที่ช่วยทำให้ใสขึ้นได้เช่นเดียวกัน เพราะวิตามินซีจะช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่น และไปลดจุดด่างดำด้วยการทำหน้าที่เป็นสาร Antioxidant ผิวจะดูเรียบเนียนเป็นสีเดียวกัน จึงทำให้ผิวดูใสมีสุขภาพดีมากขึ้น

ประโยชน์ของวิตามินซี

1.มีส่วนช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ให้ผิวมีความเปล่งปลั่งและดูอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น และยังช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา เช่น ต้อหิน ต้อกระจก ตาบอดเฉียบพลัน

2.ทำให้สิวหายเร็วขึ้น สรรพคุณอย่างหนึ่งของวิตามินซี คือช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื้อทุกส่วนในร่างกาย ดังนั้นสำหรับใครที่เป็นแผล หรือมีรอยแผลเป็นจากสิวและจุดด่างดำ สิ่งเหล่านี้จะหายเร็วขึ้น และยังช่วยทำให้ผิวเรียบเนียนและสดใสมากขึ้นอีกด้วย

3.ป้องกันผิวคล้ำเสียจากแดด วิตามินซีจะช่วยฟื้นฟู ทำให้ผิวที่แห้งเสียจากแดด กลับมาแข็งแรงได้อย่างรวดเร็ว

4.มีฤทธิ์เป็นยาระบาย แก้ปัญหาท้องผูก และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดียิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้หากทานมากไปก็อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียแทนได้

5.ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็ง เพราะวิตามินซีจะทำหน้าที่ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ และขจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย

6.ป้องกันการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ลดอาการไข้หวัด และต่อต้านเชื้อไวรัสต่างๆ

7.เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย

8.สลายไขมัน ลดการเกิดเส้นเลือดอุดตันได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยลดความดันได้ดี และยังช่วยเพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ

9.ช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีชีวิตชีวามากขึ้น

10.บำรุงเหงือกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคลักปิดลักเปิดและปัญหาเลือดออกตามไรฟันได้เป็นอย่างดี

11.ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก ทำให้ร่างกายได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ

12.ช่วยรักษาแผลผ่าตัดให้หายเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคุณแม่ที่คลอดด้วยวิธีการผ่าตัด

13.บรรเทาอาการแพ้ หอบหืด ไซนัส ทั้งนี้เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้ว วิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านภูมิแพ้ต่างๆ

14.เพิ่มประสิทธิภาพของยาที่ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

หากได้รับวิตามินซีมากเกิน จะเกิดอะไรขึ้น?

1.ทำให้การตรวจวินิจฉัยโรคบางโรคเกิดความผิดพลาด เช่น โรคเบาหวาน, มะเร็ง, การตรวจหาน้ำตาลในปัสสาวะ, ผลการตรวจเลือดรวมทั้งผลการตรวจมะเร็งปากมดลูก เป็นต้น

2.เกิดภาวะได้รับธาตุเหล็กมากเกิน เนื่องจากวิตามินซีมีส่วนช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก ดังนั้นเมื่อทานวิตามินซีมากไป ก็จะทำให้ได้รับธาตุเหล็กมากไปด้วย ซึ่งก็อาจทำให้เกิดภาวะเหล็กเกิน เป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงตามมา อย่างโรคตับ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน และอาจทำให้อวัยวะเสียหายหรือหยุดทำงานจนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

3.มีผลต่อการดูดซึมแร่ธาตุอื่นๆ คืออาจทำให้ได้รับแร่ธาตุนั้นๆ มากเกินไป หรือน้อยเกินไป

4.อาจจะทำให้เกิดท้องเสีย และเกิดตะคริวที่ท้องได้

5.หากกินตอนท้องว่างจะเกิดการระคายเคืองทางเดินอาหาร เนื่องจากความเป็นกรดของวิตามินซี

6.อาจจะเกิดอาการท้องอืด เฟ้อ บางครั้งถึงขั้น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว

7.เนื่องจากวิตามินซี จะถูกขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะ จึงทำให้ปัสสาวะมีสภาพเป็นกรด ดังนั้นจึงเป็นการเพิ่มโอกาสเกิดการตกตะกอนของผลึกต่าง ๆ กลายเป็นนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้ ดังนั้นควรกินวิตามินซีพร้อมกับดื่มน้ำมาก ๆ

8.การอมวิตามินซีชนิดเม็ดสำหรับรับประทานเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคไม่ควรทำ เพราะวิตามินซีมีฤทธิ์เป็นกรด สามารถทำให้เคลือบฟัน และฟันสึกกร่อนได้

หากได้รับวิตามินซีน้อยเกินไป จะเกิดอะไรขึ้น?

1.มีเลือดออกตามไรฟัน หรือมักจะมีอาการปวดบริเวณเหงือกบ่อย ๆ ซึ่งบอกได้ถึงเหงือกที่ไม่แข็งแรง

2.เจ็บกล้ามเนื้อ และมีอาการอ่อนแรง ทั้งที่ไม่ค่อยได้ยกของหนักสักเท่าไหร่ และมักจะมีอาการปวดแปลบ ๆ บ่อย ๆ

3.ปากแห้งแตกเป็นขุย แม้ว่าจะเป็นช่วงหน้าฝน

4.แผลหายช้ากว่าปกติ

5.อ่อนเพลียและรู้สึกเบื่ออาหาร อยากนอนอยู่ตลอดเวลา รู้สึกไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่า

6.ผิวแห้งกร้านคล้ำเสีย แม้ว่าจะบำรุงผิวอยู่เป็นประจำก็ตาม เนื่องจากเมื่อร่างกายขาดวิตามินซี ก็จะทำให้ขาดคอลลาเจนที่เป็นตัวช่วยสำคัญในการบำรุงผิวไปด้วย

7.เสี่ยงโรคหัวใจ โรคกระดูก และโรคหลอดเลือดสูง

8.ภูมิต้านทานต่ำ เป็นหวัดง่าย มักจะเป็น ๆ หาย ๆ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสได้สูง

9.ทำให้หลอดเลือดฝอยขาดความยืดหยุ่นไม่แข็งแรง ดังนั้นหลอดเลือดฝอยจึงแตกได้ง่าย

อาหารอุดมวิตามินซี

โดยปกติแล้วเราสามารถหาวิตามินซีได้จากธรรมชาติ โดยเฉพาะในพืชผักผลไม้ทั่วไป ซึ่งแหล่งวิตามินซีที่พบได้มากที่สุด มีดังนี้
1.มะขามป้อม
มะขามป้อม มีวิตามินซี 276 มิลลิกรัม/100 กรัม นิยมนำมาทานเพื่อให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และเป็นยารักษาโรคต่างๆ ซึ่งประโยชน์ของมะขามป้อม มีดังนี้

  • บรรเทาอาการไอและอาการเจ็บคอ ทั้งมีส่วนช่วยในการละลายเสมหะได้เป็นอย่างดี
  • บรรเทาอาการหวัด ลดไข้ ตัวร้อนแค่ไหนแค่ทานมะขามป้อมก็เอาอยู่
  • ช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวา และรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น
    2.ฝรั่ง
    ฝรั่ง มีวิตามินซี 160 มิลิกรัม/100 กรัม สามารถกินได้ทั้งแบบสด ๆ จิ้มพริกเกลือหรือจะนำมาทำเป็นฝรั่งแช่อิ่ม แช่บ๊วยก็ได้ แต่แนะนำให้ทานแบบสด ๆ จะดีกว่า เพราะมีคุณค่าทางสารอาหารสูง โดยเฉพาะที่เปลือกจะมีวิตามินซีอยู่มากที่สุด โดยฝรั่งมีประโยชน์ ดังนี้
  • ลดไขมันในเลือด ป้องกันและบรรเทาโรคเบาหวาน พร้อมทั้งช่วยปรับระดับความดันให้อยู่ในระดับที่ปกติ
  • มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ป้องกันโรค และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่จะทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งและช่วยต้านเชื้อโรคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
  • มีฤทธิ์เป็นยาระบาย แก้อาการท้องผูกและช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • บรรเทาอาการปวดฟัน และเสริมสร้างเหงือกและฟันให้แข็งแรง ทั้งยังลดอาการอักเสบของเหงือกได้

2.กีวี่
กีวี่ มีวิตามินซีประมาณ 105 มิลลิกรัม/100 กรัม มีรสชาติดี ทั้งยังมีกากใยสูง และแคลอรี่ต่ำ จึงไม่ต้องกลัวอ้วน อีกทั้งยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์อีกมากมาย ซึ่งประโยชน์ของกีวี่ มีดังนี้

  • บรรเทาอาการเจ็บคอ ขับเสมหะ พร้อมทั้งบรรเทาอาการไอได้เป็นอย่างดี
  • อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ให้คุณดูอ่อนเยาว์ลง และมีสุขภาพที่แข็งแรงมากขึ้น
  • มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก สลายไขมันส่วนเกิน ควรทานกีวี่ก่อนมื้ออาหารจะช่วยให้รู้สึกอิ่มและทานอาหารมื้อนั้นได้น้อยลง
  • ป้องกันอาการท้องผูก เหมาะกับคนที่มักจะท้องผูกบ่อย ๆ เป็นอย่างมาก และยังช่วยให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น

3.มะละกอสุก
มะละกอสุก มีวิตามินซีประมาณ 70 มิลลิกรัม/100 กรัม มีรสชาติหวานอร่อย ทานง่าย และช่วยให้ระบบย่อยอาหารย่อยได้ง่ายขึ้น ซึ่งประโยชน์ของมะละกอสุก มีดังนี้

  • ป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด และลดความเสี่ยงโรคอาการเลือดออกตามไรฟันได้อย่างดีเยี่ยม
  • อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยต้านอนุมูลอิสระ ให้ผิวดูขาวกระจ่างใส และเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น
  • มีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะและเป็นยาระบายอ่อน ๆ จัดการกับปัญหาอาการท้องผูกได้อย่างอยู่หมัด รวมทั้งป้องกันโรคนิ่วได้เป็นอย่างดี

4.ส้มโอ
ส้มโอมีวิตามินซีประมาณ 44 มิลลิกรัม/100กรัม สามารถนำมาทานสด ๆ และนำไปประกอบเมนูอาหารต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย ทั้งยำ สลัดหรือจะนำมาทำเป็นส้มตำก็ได้ โดยประโยชน์ของส้มโอ ได้แก่

  • บรรเทาอาการท้องอืด แน่นท้อง ให้รู้สึกผ่อนคลายและสบายท้องมากขึ้น
  • ลดอาการปวดและป้องกันเลือดออกตามไรฟัน พร้อมบำรุงสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
  • แก้หวัด ลดไข้ บรรเทาอาการไอและขับเสมหะ ช่วยให้รู้สึกชุ่มคอ ลดอาการเจ็บคอได้อย่างดีเยี่ยม
    นอกจากนี้ก็ยังมีผักผลไม้ชนิดอื่น ๆ ที่เป็นแหล่งของวิตามินซีด้วย เช่น ส้ม สตรอว์เบอร์รี หรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี พริกหวานสีแดง บร็อกโคลี่ ยอดผักหวาน มะระ ดอกแค และพริกไทย

วิตามินซีแบบฉีด คืออะไร?

วิตามินซีแบบฉีด กำลังเป็นที่นิยมในหมู่สาว ๆ เป็นอย่างมาก เพราะเชื่อว่าจะสามารถทำให้ผิวขาวใสได้ด้วยการฉีดเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น แต่ความจริงแล้ววิตามินซีแบบฉีดคืออะไร และมีประสิทธิภาพดีแค่ไหน มาทำความรู้จักกับวิตามินซีแบบฉีดกัน

1.วิตามินซีแบบฉีด เป็นวิตามินซีเสริมที่ใช้ฉีดเข้าสู่เส้นเลือดโดยตรง โดยประสิทธิภาพในการบำรุงผิวนั้นก็ไม่ค่อยต่างจากวิตามินแบบทานหรือวิตามินซีจากธรรมชาติสักเท่าไหร่ เพียงแต่จะเห็นผลเร็วกว่าแบบอื่น ๆ เท่านั้น

2.วิตามินซีแบบฉีด จะมีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ถูกดึงไปบำรุงผิวพรรณ โดยส่วนที่เหลือจะถูกขับออกทางปัสสาวะโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

3.ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถฉีดวิตามินซีเสริมได้ จะต้องมั่นใจว่าตับมีความแข็งแรงมากพอ และไม่มีประวัติเป็นโรคที่อาจเป็นอันตรายต่อการฉีด

4.ไม่ควรฉีดวิตามินซีเสริมเกิน 2-5 กรัมต่อสัปดาห์ เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงได้สูง

5.ควรดื่มน้ำตามมาก ๆ หลังฉีดวิตามินซีเสริม เพื่อเจือจางความเข้มข้นของวิตามินซี และป้องกันไม่ให้วิตามินซีไปขัดขวางการดูดซึมสารอาหารอื่น ๆ

วิตามินซีในรูปแบบของอาหารเสริม

1.เป็นวิตามินที่รับประทานกันอย่างแพร่หลายมากที่สุด มีจำหน่ายหลายรูปแบบ เช่น แบบเม็ด แคปซูล ลูกอม เม็ดแบบแตกตัวช้า แบบผง แบบเคี้ยว น้ำเชื่อม หรือเรียกได้ว่าแทบจะทุกรูปแบบ

2.อาหารเสริมวิตามินซีที่ดีที่สุด คือวิตามินซีที่ประกอบไปด้วยไบโอฟลาโวนอยด์ เฮาเพอริดิน และรูติน (บางครั้งอาจเห็นชื่อในฉลากว่า เกลือซิตรัส)

3.วิตามินซีในรูปแบบเม็ดหรือแคปซูลส่วนมากจะมีขนาดตั้งแต่ 100 – 1,000 mg. ส่วนในรูปแบบผงละลายน้ำจะมีขนาดประมาณ 5,000 mg. ต่อช้อนชา

4.ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับวิตามินซีเสริมอาหารคือ 500 – 4,000 mg.

5.อะซีโรลาซี (Acerola C) คือ วิตามินซีที่สกัดมาจากผลอะซีโรลาเบอร์รี่

6.วิตามินซีจากโรสฮิป หรือผลกุหลาบ จะมีไบโอฟลาโวนอยด์และเอนไซม์อื่น ๆ ที่ช่วยให้วิตามินซีแตกตัวได้ดี ถือเป็นแหล่งของวิตามินซีตามธรรมชาติที่ดีที่สุด

แนะนำอาหารเสริมวิตามินซี 5 ยี่ห้อเด็ด

1.Blackmores Vitamins Bio C 1,000 mg.
เป็นวิตามินซี ที่ได้จากแหล่งธรรมชาติ ผสมโรสฮิพ และอะซีโรลา เหมาะสำหรับผู้ที่ขาดวิตามินซี

  • ส่วนประกอบใน 1 เม็ด ได้แก่ วิตามินซี ในรูปแอสคอร์บิค แอซิด 400 มิลลิกรัม, โซเดียม แอสคอร์เบท 350 มิลลิกรัม, แคลเซียม แอสคอร์เบท 400 มิลลิกรัม, ซิตรัส ไบโอฟลาโวนอยด์ 25 มิลลิกรัม, รูทิน 50 มิลลิกรัม, เฮสเพอริดิน 50 มิลลิกรัม, โรสฮิป 250 มิลลิกรัม และอะเซโรลา 50 มิลลิกรัม
  • วิธีรับประทาน: วันละ 1-2 เม็ด หลังอาหารเช้า-เย็น
  • ราคา: ขนาด 31 เม็ด ราคาประมาณ 235 บาท, ขนาด 62 เม็ด ราคาประมาณ 440 บาท และขนาด 150 เม็ด ราคาประมาณ 1,120 บาท

2.MEGA We Care NAT C
มีประโยชน์ในการบำรุงร่างกายมากมาย ทั้งเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกัน ปกป้องไม่ให้เกิดภูมิแพ้ ป้องกันโรคต้อกระจก และจุดเด่นอีกด้านของวิตามินซี คือ บำรุงผิวพรรณ, ทำให้ผิวใส, สร้างคอลลาเจน, ช่วยรักษาแผลเป็น, ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคหวัด, ป้องการอนุมูลอิสระ และต้านความชรา

  • ส่วนประกอบสำคัญใน 1 แคปซูล ได้แก่ วิตามินซี 1,000 มิลลิกรัม, แอสคอร์บิค แอซิด 400 มิลลิกรัม, โซเดียม แอสคอร์เบท 350 มิลลิกรัม, แคลเซียม แอสคอร์เบท 400 มิลลิกรัม, รูทิน 50 มิลลิกรัม, ไบโอฟลาโวนอยด์ 50 มิลลิกรัม, เฮสเพอริดิน 50 มิลลิกรัม, ผงสกัดแห้งโรสฮิป 62.5 มิลลิกรัม และผงสกัดแห้งอะซิโรลา 12.5 มิลลิกรัม
  • วิธีรับประทาน: วันละ 1 เม็ด ทันทีหลังอาหาร
  • ราคา: ขนาด 30 เม็ด ราคาประมาณ 179 บาท, ขนาด 60 เม็ด ราคาประมาณ 350 บาท และขนาด 150 เม็ด ราคาประมาณ 730 บาท

3.VISTRA Acerola Cherry 1,000 mg.
สารสกัดจากอะเซโรลาเชอรี่ให้วิตามินซีสูง อยู่ในรูปแบบที่ร่างกายสามารถดูดซึม และนำไปใช้ได้ประโยชน์ได้ดี เพราะเป็นวิตามินซีจากธรรมชาติที่มีความจำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก ซึ่งไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร และระบบการทำงานของไต

  • ส่วนประกอบสำคัญ ได้แก่ อะเซโรลาเชอร์รี่สกัด 1,000 มิลลิกรัม, ซิตรัส ไบโอฟลาโวนอยด์ 80 มิลลิกรัม, สารสกัดจากทับทิม 60 มิลลิกรัม, สารสกัดจากเมล็ดองุ่น 40 มิลลิกรัม, เบต้าแคโรทีน 30 มิลลิกรัม และไลโคพีน 30 มิลลิกรัม
  • วิธีรับประทาน: วันละ 1 เม็ด พร้อมมื้ออาหาร
  • ราคา: ขนาด 45 เม็ด ราคาประมาณ 279 บาท, ขนาด 60 เม็ด ราคาประมาณ 350 บาท และขนาด 559 เม็ด ราคาประมาณ 970 บาท

4.Hicee Sweetlets Vitamin C
ยาอมวิตามินซี เม็ดสีเหลือง มีรสหวาน และรสเปรี้ยวเล็กน้อย รับประทานง่ายมาก ในยาแต่ละเม็ดประกอบด้วย วิตามิน ซี 500 มิลลิกรัม

  • ส่วนประกอบที่สำคัญ ได้แก่ วิตามินซี 250 มิลลิกรัม และโซเดียม แอสคอร์เบท 281.25 มิลลิกรัม
  • ตามปกติ ให้วันละ 2 เม็ด อมยาให้ละลายในปากอย่างช้า ๆ โดยแบ่งอมเป็นช่วงเช้าและช่วงเย็นครั้งละ 1 เม็ด
  • ราคา: ขนาด 15 เม็ด ราคาประมาณ 75 บาท

5.Amway NUTRILITE Bio C Plus All Day Formula
มีประโยชน์มากมากหลายอย่าง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ผลิตภัณฑ์วิตามินซี ให้วิตามินซีที่จำเป็นจากอาหารที่หลากหลายรวมทั้งอะเซโรลาเชอร์รี ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามินซีมากที่สุด

  • ส่วนประกอบใน 1 เม็ด ได้แก่ วิตามินซี จากแอสคอร์บิค แอซิด 470 มิลลิกรัม และวิตามินซี จากอะเซโรลาเชอร์รี่เข้มข้น 30 มิลลิกรัม
  • วิธีรับประทาน: วันละ 1 เม็ด พร้อมมื้ออาหาร
  • ราคา: ขนาด 60 เม็ด ราคาประมาณ 630 บาท และขนาด 120 เม็ด ราคาประมาณ 1,200 บาท
    ซึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเหล่านี้ สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาชั้นนำทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น Boots, Watsons, ฟาสซิโน, ซีตรัส ฟาร์มาซี หรือฟาร์ม่าช้อยส์ และสั่งซื้อทางออนไลน์

โดย “เชียงใหม่นิวส์” อยากจะแนะนำร้านขายยาราคาถูกในตัวเมืองเชียงใหม่ 5 ร้าน ได้แก่

1.ร้านสิงหราชเภสัช

เวลาทำการ 07.00-21.00 น.
ที่อยู่ 28/4 ถนนสิงหราช ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 50200 (อยู่เยื้องกับโรงเรียนหอพระ

2.ดาราเภสัช

เวลาทำการ 08.00-23.00 น.
ที่อยู่ 251/3-4 ถนนแก้วนวรัฐ ตำบลวัดเกต อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50000

3.สยามชัยเภสัช

เวลาทำการ 08.00-21.00 น. หยุดทุกวันอาทิตย์
ที่อยู่ 10 ถนนราชเชียงแสน ตำบลหายยา อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 50100

4.ส.เภสัช

เวลาทำการ 08:30-19:00 น. หยุดทุกวันอาทิตย์
ที่อยู่ 261 ถนนช้างเผือก ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50300

5.ศูนย์ปฏิบัติการเภสัชชุมชน คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

  • เวลาทำการ 8.30-18.30 น.
  • ที่อยู่ ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 50200

สรุป
วิตามินซี เป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อร่างกายของคนเราเป็นอย่างมาก ซึ่งจะช่วยบำรุงทั้งร่างกายให้แข็งแรง และบำรุงผิวพรรณให้ขาวกระจ่างใสดูเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น โดยสามารถทานวิตามินซีได้ทั้งจากพืชผักผลไม้ทั่วไป และจากอาหารเสริม แต่ทั้งนี้ควรทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อป้องกันผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายจากการได้รับวิตามินซีมากเกินไปนะคะ

เรียบเรียงโดย: “เชียงใหม่นิวส์”
อ้างอิงข้อมูลจาก: honestdocs, medthai, health.kapook และ haamor
ขอบคุณภาพจาก: Sukkaphap D และ ShopBack

ร่วมแสดงความคิดเห็น