เมื่อ “พระเจ้ามโหตตรประเทศ” ถึงแก่พิราลัย “พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนยศเป็น “เจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ ดำรงนพีสีนคร สุนทรทศลักษณเกษตร วรฤทธิ์เดชมหาโยนางคราชวงศาธิบดี เจ้านครเชียงใหม่” เมื่อลงมาเข้าเฝ้าในปี พ.ศ. 2404 ก็ได้รับเพิ่มยศเป็นพระเจ้านครเชียงใหม่ในราชทินนาม “พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ ดำรงนพีสีนคร สุนทรทศลักษณเกษตร วรฤทธิเดชศรี โยนางคดไนย ราชวงศาธิบดี เจ้านครเชียงใหม่”
และในวันนี้ “เชียงใหม่นิวส์” ขอนำเสนอเรื่องราวของ “เจ้ากาวิโลรส” หรือ “เจ้าชีวิตอ้าว” ผู้เป็นที่เลื่องลือในพระอัจฉริยะภาพด้านการเมืองการปกครอง และในอีกด้านหนึ่ง พระองค์ก็เป็นเจ้าเมืองที่มีนิสัยเด็ดขาด ถึงลูกถึงคน เช่นกัน
“พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์” มีพระนามเดิมว่า “เจ้าหนานสุริยวงศ์” เป็นพระโอรสในพระเจ้ากาวิละกับแม่เจ้าจันทาราชเทวี ในปี พ.ศ. 2368 ได้รับอิสริยยศเป็น “พระยาเมืองแก้ว”
ด้วยนิสัยส่วนพระองค์ที่เด็ดขาด จึงเป็นที่เคารพยำเกรงในหมู่ข้าราชบริพารและพสกนิกร เมื่อทรงพิจารณาตัดสินว่าคดีความใดแล้ว หากทรงเอ่ยว่า “อ้าว” เมื่อใด หมายถึงการต้องโทษตัดศีรษะประหารชีวิต จนประชาชนทั่วไปต่างถวายพระสมัญญาว่า “เจ้าชีวิตอ้าว”
ราวปี พ.ศ. 2407 พระองค์ได้ช้างเผือกมา 2 เชือก เมื่อฝ่ายกรุงอังวะทราบข่าว ก็คิดจะทำการให้ฝ่ายเชียงใหม่กับสยามแตกแยกกันมากขึ้น จึงให้เจ้าเมืองนายไปขอซื้อช้าง 2 เชือกดังกล่าว เพื่อนำไปถวายเจ้ากรุงอังวะ เจ้ากาวิโลรสกล่าวว่า “แค่ช้าง 2 เชือก จะคิดเป็นเงินเป็นทองอะไรกัน เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนบ้าน ยกให้เปล่า ๆ ไปเลย”
ไม่เพียงเท่านั้น พระองค์ยังได้แต่งท้าวขุนนางผู้ใหญ่เมืองเชียงใหม่พร้อมไพร่พลอีก 50 คน คุมช้าง 2 เชือก ไปยังกรุงอังวะ พร้อมประกาศให้บ้านหรือแคว่นใดก็ตามที่ช้างผ่าน ต้องสร้างโรงช้าง และที่พักขุนนางเป็นอย่างดี หากใครไม่ทำตาม จะต้องโทษสถานหนัก จึงทำให้ทุกบ้านทุกแคว่นก็ทำตามเพราะกลัวอาชญาเจ้าชีวิตอ้าวเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อถึงกรุงอังวะและก็ถวายช้างเผือกแก่พระเจ้าอังวะ พระเจ้าอังวะเห็นว่าพระเจ้าเชียงใหม่มาถวายช้างนั้นคือการขอขึ้นกับพม่า จึงได้แต่งราชทูตพร้อมข้าวของอันประกอบด้วยแหวนทับทิมอย่างดี รวมไปถึงเครื่องเขินของมีค่า อีกมากมายมาตอบแทนเจ้าเมืองเชียงใหม่
พอมาถึงเมืองเชียงใหม่ ทำให้เจ้าชีวิตอ้าวตกใจอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธการมาของราชทูตกรุงอังวะได้ หลังจากราชทูตกรุงอังวะกลับไปแล้ว เจ้าเมืองเชียงใหม่ก็กลัวข่าวจะรั่วไหลไปถึงสยาม (ในขณะนั้นตรงกับรัชกาลที่ 4) เจ้าชีวิตอ้าวจึงสั่งประหาญล่ามพม่า พร้อมครอบครัวทั้งหมด ซึ่งก็เป็นพ่อค้าที่อยู่ในเชียงใหม่นั่นเอง
เรื่องดังกล่าวได้อยู่ในสายตาของกลุ่มที่เป็นปรปักษ์กับเจ้าชีวิตอ้าว อันได้แก่ “พระยาอุปราชธรรมปัญโญ”, “พระยาน้อยหน่อคำ”, “พญาราชบุตรหนานสุริยวงศ์” พอได้ทราบข่าวก็ทำรายงานเรื่องดังกล่าวไปยังกรุงเทพฯ เมืองหลวงของสยามทันที
เจ้าชีวิตอ้าวได้ทราบเรื่องดังกล่าว ก็มาปรึกษากับ “พระยาบุรีรัตน์” ซึ่งเป็นญาติคนสนิท ทั้งสองก็ตกลงกันว่า “ถ้าสยามจะยับตั๋วเอาไปฮับโต๊ดยังกรุงเตป ก่อจะขอสู้ต๋าย ต๋ายอ้วนดีกว่าต๋ายผอมบ๊ะ”
ฝ่ายสยาม ได้ทราบเรื่องราวจากรายงาน ได้มีคำสั่งให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด อันได้แก่ ผู้ฟ้อง และผู้ถูกฟ้อง เดินทางไปสอบหาข้อเท็จจริงในกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2409 ซึ่งก่อนเดินทาง เจ้าชีวิตอ้าวได้กล่าวกับแม่ทัพนายกองและขุนนางชาวเชียงใหม่ ว่าให้รอฟังข่าวจากกรุงเทพฯ หากตัวของพระองค์เป็นอะไรไปก็ดี ให้ทุกคนฟื้นสยาม แล้วให้หันไปขอกำลังจากหมู่ม่านที่กรุงอังวะ หรือฝรั่งอังกฤษที่อินเดีย
ฝ่ายสยามก็รู้เรื่องทั้งหมด เมื่อปรึกษากันแล้วก็แกล้งสืบสวนไปตามเรื่อง พระเจ้าเชียงใหม่ก็ให้การว่า ช้างเผือก 2 เชือกนั้น เดิมเจ้าเมืองนายต้องการซื้อ แต่เห็นว่าค่าซื้อช้างเป็นเงินเพียงเล็กน้อย เกรงจะเสียเกียรติยศ จึงมอบให้เปล่า ๆ ต่อมาเจ้าเมืองนายกลับนำไปถวายพระเจ้าอังวะอีกต่อหนึ่ง
พระเจ้าอังวะจึงคุมสิ่งของมีค่ามาตอบแทนดังกล่าว แล้วพระเจ้ากาวิโลรส ก็นำสิ่งของที่พระเจ้าอังวะนำมาถวายให้รัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 4 ก็มีราชโองการว่า “ของนี้ เจ้าอังวะให้แก่เจ้าเชียงใหม่ เจ้าเชียงใหม่ก็เอาไว้เถิด ขอรับไว้แต่แหวนทับทิมวงเดียว พอไม่ให้พระเจ้ากาวิโลรสเสียใจ” แล้วก็ให้เสนาบดีสยามพิจารณาความไปตามปกติ
การพิจารณาความในครั้งนั้น หาได้พิจารณาตามเรื่องราวที่เป็นจริงที่เกิดขึ้นไม่ แต่พิจารณาในลักษณะการทูตและการปกครอง เนื่องจากในสมัยนั้น พม่าเอาอกเอาใจชาวเชียงใหม่ยิ่งนัก อีกทั้งประชาชนชาวเชียงใหม่คุ้นเคย และเป็นมิตรกับพม่ามากกว่าชาวสยาม ยิ่งในสมัยนั้น เจ้าชีวิตอ้าวมีอำนาจมากในลานนา แม้ฝรั่งต่างชาติก็ขยาดหวาดกลัว จึงพร้อมใจกันพิจารณาตัดสินไปว่า “พระเจ้ากาวิโลรส สุริยวงศ์ ยังหาความผิดในข้อใหญ่สิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้” พระเจ้าเชียงใหม่จึงเป็นฝ่ายชนะ เจ้าชีวิตอ้าวจึงพาพรรคพวกเดินทางกลับมาปกครองเมืองเชียงใหม่เช่นเดิม
ส่วนฝ่ายฟ้องร้อง อันได้แก่ “ราชบุตรนายน้อยมหาวงษ์”, “หนานมหาเทพ”, “น้อยเทพวงษ์” ได้ถูกให้กักตัวไว้ที่กรุงเทพ ให้รับราชการที่กรุงเทพต่อไป จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้เมืองเชียงใหม่ในสมัยเจ้าชีวิตอ้าวไม่ก่อกบฏต่อสยาม อยู่ร่วมกันสืบต่อมา
เรียบเรียงโดย : “เชียงใหม่นิวส์”
ข้อมูลจาก : www.tnews.co.th, nanwardloa.blogspot.com
ภาพจาก : th.wikipedia.org
ร่วมแสดงความคิดเห็น