จากหน่วยข้อมูลเวชระเบียน งานเวชระเบียนและสถิติ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ในปี พ.ศ.2560 พบว่า มีผู้ป่วยในที่เป็นโรคเรื้อรังเข้ารับการรักษาโรคเนื้องอกและมะเร็งสูงเป็นอันดับ 1 จำนวน 22,025 ครั้ง
ซึ่งเนื้องอกและมะเร็งนั้นยังเป็นโรคเรื้อรังที่หากพบแต่เนิ่น ๆ เราจะสามารถทำการรักษาและหายได้ แต่หากพบในระยะที่รุนแรงนั้น โอกาสในการรักษาหายขาดก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของระยะนั้น ๆ
วันนี้ “เชียงใหม่นิวส์” จะมาเล่าถึงเนื้องอกก่อมะเร็ง ที่ให้เป็นโรคเรื้อรังกันค่ะ
เนื้องอกคืออะไร ?
เนื้องอก คือ ก้อนของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เติบโตขึ้นมาอย่างผิดปกติ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของดีเอ็นเอ หรือ สารพันธุกรรมที่อยู่ภายในเซลล์จำนวนหนึ่งภายในร่างกาย แล้วส่งผลทำให้เซลล์ส่วนนั้น มีการทำงานที่ผิดปกติทางด้านการเจริญเติบโตและด้านการแบ่งตัวของเซลล์ ทำให้เซลล์ส่วนนั้นอาจมีการเพิ่มจำนวนอย่างควบคุมไม่ได้ และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีจำนวนมากกว่าปกติอาจถึงขั้นลุกลามและแพร่กระจายไปทั่วทั้งร่างกายได้
เนื้องอก จัดเป็นโรคทางพันธุกรรมแบบที่ปกติไม่ถ่ายทอดสู่รุ่นลูกรุ่นได้ แต่อาจถ่ายทอดลักษณะที่เป็นปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดเนื้องอกได้ แต่การอธิบายโรคทางพันธุกรรมมักจะกล่าวถึงโรคที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมที่สามารถถ่ายทอดสู่รุ่นลูกรุ่นหลานได้เป็นหลัก
ชนิดของเนื้องอก
เนื้องอกมี 2 ชนิดหลัก ๆ
- เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง
เนื้องอกชนิดนี้จะเกิดเป็นก้อนเนื้อเยื่อที่โตขึ้นมาอย่างผิดปกติ และมีอัตราการเติบโตที่ช้ากว่ามะเร็งมาก แต่ไม่แพร่กระจายไปอวัยวะอื่นได้รวดเร็วเท่ามะเร็ง ดังนั้น เนื้องอกชนิดนี้จึงมีความร้ายแรงน้อยกว่ามะเร็งและมีโอกาสรักษาหายได้มากกว่าการเป็นโรคมะเร็ง เช่น ไฝ หรือเนื้องอกที่เกิดขึ้นบริเวณเยื่อหุ้มสมองและเยื่อหุ้มไขสันหลัง ที่เรียกว่า “เมนิงจิโอมา”
2. เนื้องอกชนิดร้ายแรง หรือ เนื้องอกร้าย หรือ มะเร็ง
เนื้องอกชนิดนี้จะเกิดเป็นก้อนเนื้อเยื่อที่โตขึ้นมาอย่างผิดปกติ มีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วมาก และสามารถแพร่กระจายไปอวัยวะอื่นได้รวดเร็ว จนทำให้อวัยวะนั้น ๆ ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติจนเกิดการเสียชีวิตลงในที่สุด
เนื้องอกร้ายเกิดมะเร็ง
เซลล์เนื้องอกที่แบ่งตัวเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว มีการเบียดแทรกและทำลายเซลล์ปกติที่อยู่ข้างเคียง อีกทั้งยังสามารถแทรกตัวทะลุเข้าไปในหลอดน้ำเหลืองและหลอดเลือดได้ และอาศัยการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองพัดพาไปเจริญเติบโตเป็นก้อนที่อวัยวะอื่นได้ การแบ่งตัวแบบนี้ทำให้เกิดเนื้องอกร้าย หรือที่เรียกว่า มะเร็ง สามารถแบ่งได้ 5 กลุ่ม ตามชนิดของเซลล์ ดังนี้
- มะเร็งกลุ่ม Carcinoma ได้แก่ มะเร็งที่มาจากเซลล์เยื่อบุผิว เป็นชนิดที่พบมากที่สุด
- มะเร็งกลุ่ม Sarcoma ได้แก่ มะเร็งที่มาจากเซลล์ไขมัน กล้ามเนื้อ เส้นประสาท เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน กระดูกและกระดูกอ่อน
- มะเร็งกลุ่ม Lymphoma ได้แก่ มะเร็งที่มาจากเซลล์ของต่อมน้ำเหลืองและเนื้อเยื่อของระบบภูมิต้านทาน
- มะเร็งกลุ่ม Leukemia ได้แก่ มะเร็งของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดที่อยู่ในไขกระดูก
- มะเร็งกลุ่ม Melanoma ได้แก่ มะเร็งที่มาจากเซลล์ผลิตเม็ดเลือดสี ซึ่งพบตามผิวหนัง
ปัจจัยที่ทำให้เกิดเนื้องอกร้าย หรือมะเร็ง
ปัจจัยภายใน ได้แก่
- ยีนที่ควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ผิดปกติ
- ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแต่ละคน
- เชื้อชาติ อายุ กรรมพันธุ์ และเพศ
- รอยโรคตั้งต้น เช่น ไฝดำ ติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่
ปัจจัยภายนอก ได้แก่
- บุหรี่ เป็นสารก่อมะเร็งอันดับ 1 ของโลก
- สุรา เป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งตับ
- เนื้อสัตว์ที่ปิ้งจนไหม้เกรียม ส่งเสริมให้เป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้
- อาหารที่ปนเปื้อนเชื้อราอะฟลาท็อกซิน เช่น ถั่วลิสง
- เชื้อโรคบางชนิด เช่น ไวรัส HPV ไวรัสเอดส์ พยาธิใบไม้ในตับ
- สารเคมีบางชนิด เช่น แร่ใยหิน สารหนู เบนซีน
- รังสีบางชนิด เช่น รังสียูวี สารกัมมันตภาพรังสี
- พฤติกรรมสุขภาพ เช่น พักผ่อนไม่เพียงพอ ทานอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ ไม่ทานผักผลไม้
อาการของเนื้องอก
ลักษณะอาการของผู้ป่วยที่มีเนื้องอกในร่างกายแตกต่างกันไปตามชนิดของเนื้องอก และตำแหน่งที่มีเนื้องอกเกิดขึ้น ซึ่งผู้ป่วยอาจมีลักษณะอาการ เช่น
- มีไข้ หรือหนาวสั่น
- เมื่อยล้า อ่อนเพลีย
- ไม่อยากอาหาร
- น้ำหนักตัวลดลง
- มีเหงื่อออกตอนกลางคืน
- เจ็บปวดตามบริเวณที่เกิดเนื้องอก
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายที่มีเนื้องอก อาจมีลักษณะอาการเฉพาะ ซึ่งขึ้นอยู่กับบริเวณที่เกิดเนื้องอก เช่น
- เนื้องอกในปอด ผู้ป่วยอาจมีอาการไอ หายใจไม่อิ่ม และเจ็บหน้าอก
- เนื้องอกในลำไส้ใหญ่ ผู้ป่วยอาจมีน้ำหนักตัวลดลง ท้องร่วงหรือท้องผูก ป่วยด้วยภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก และอาจถ่ายเป็นเลือด
ส่วนเนื้องอกที่เป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งนั้น ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการใด ๆ ปรากฏในระยะเริ่มแรก แต่อาจมีอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ที่รุนแรงขึ้น เมื่อเซลล์มะเร็งได้แพร่กระจายเข้าสู่ระยะลุกลาม ซึ่งลักษณะอาการที่เกิดขึ้นมักแตกต่างกันไปตามประเภทและบริเวณที่เกิดมะเร็งด้วยเช่นกัน
การวินิจฉัยเนื้องอก
- การตรวจเลือดและความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด
- การตรวจการทำงานของตับ
- การเอกซเรย์ช่องอก
- การสแกนอวัยวะและโครงสร้างภายใน
- การตรวจเนื้อเยื่อไขกระดูก
- การตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ
การรักษาเนื้องอก
แพทย์จะพิจารณาวางแผนรักษาเนื้องอกโดยคำนึงถึงชนิดของเนื้องอกและตำแหน่งที่เกิดเนื้องอกเป็นหลัก สำหรับผู้ที่ถูกตรวจพบเนื้องอกที่เป็นเซลล์มะเร็ง แพทย์อาจวางแผนรักษาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีร่วมกัน เพื่อกำจัดเซลล์เนื้องอกที่เกิดขึ้น และยับยั้งการแพร่กระจายลุกลามไปยังเซลล์เนื้อเยื่ออื่น ๆ ด้วย เช่น
- เคมีบำบัด หรือ คีโม เป็นการให้ยาเพื่อรักษาอาการป่วยที่เกิดขึ้นจากมะเร็ง และทำลายเซลล์มะเร็ง
- การให้ยาเจาะจงเซลล์มะเร็ง เป็นการให้ยารักษามะเร็งและกำจัดเซลล์มะเร็งอย่างเจาะจงบริเวณที่เกิดเนื้อร้ายขึ้น
- รังสีบำบัด เป็นการใช้เครื่องมือเพื่อยิงคลื่นพลังงานสูงผ่านร่างกายเข้าไปในบริเวณที่เป็นเนื้อร้าย เพื่อฆ่าทำลายกำจัดเซลล์มะเร็ง
- ภูมิคุ้มกันบำบัด เป็นการให้สารเคมีบางชนิดแก่ผู้ป่วย เพื่อกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานเพื่อต่อต้าน กำจัด ยับยั้ง หรือชะลอเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้น
- การผ่าตัด แพทย์อาจต้องผ่าตัดนำอวัยวะส่วนที่มีการลุกลามของเซลล์มะเร็งออกไปจนหมดในผู้ป่วยบางราย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายลุกลามไปยังอวัยวะและเนื้อเยื่ออื่น ๆ ภายในร่างกาย
ภาวะแทรกซ้อนของเนื้องอกเซลล์มะเร็ง
อาการที่อาจเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยมะเร็ง และผู้ที่กำลังเข้ารับการรักษาโรคมะเร็ง เช่น
- เจ็บปวดตามร่างกาย
- เมื่อยล้า อ่อนแรง
- หายใจลำบาก หรือ หายใจไม่อิ่ม
- คลื่นไส้ วิงเวียน
- ท้องผูก หรือ ท้องร่วง
- น้ำหนักลด
- ระดับสารเคมีในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง หรือขาดสมดุล ทำให้อาจเกิดอาการ เช่น กระหายน้ำมากเกินไป ปัสสาวะบ่อย มีภาวะสับสนมึนงง
- เกิดปัญหาในสมองและระบบประสาท เนื่องจากเนื้องอกที่เป็นเนื้อร้ายอาจไปกดเส้นประสาท จนนำไปสู่อาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทางระบบประสาทได้ เช่น ปวดหัว ร่างกายอ่อนแรงครึ่งซีก หรือมีอาการอื่น ๆ ที่คล้ายเส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบตัน
- ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อเซลล์มะเร็งผิดปกติ และอาจกลายเป็นทำลายเซลล์ที่มีสุขภาพดีได้ อาการรุนแรงที่อาจพบ ได้แก่ เดินลำบาก หรือมีภาวะชัก
- หลังจากรักษามะเร็งไปแล้ว ผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงที่จะกลับมาเป็นมะเร็งอีก
- เซลล์มะเร็งอาจลุกลามและแพร่กระจายไปยังเซลล์เนื้อเยื่อและอวัยวะส่วนอื่น ๆ ทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายเกิดความเสียหาย จนเสี่ยงต่อการเสียชีวิต
การป้องกันการเกิดเนื้องอก
เนื้องอกธรรมดาและเนื้องอกที่เป็นเนื้อร้ายอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยสาเหตุ แต่โดยทั่วไป อาจสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงได้ด้วยการระมัดระวังในการใช้ชีวิต และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจก่อปัญหาต่อสุขภาพได้ เช่น
- ไม่สูบบุหรี่ เลิกสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีควันบุหรี่
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ตามหลักโภชนาการที่เหมาะสม เช่น บริโภคผักผลไม้ให้มาก ลดอาหารที่มีไขมันสูง หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารสำเร็จรูป ไม่ดื่มแอลกอฮอล์หรือดื่มในปริมาณที่พอดี เป็นต้น
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดเป็นเวลานานจนเกินไป อยู่ในที่ร่ม สวมใส่เครื่องแต่งกายปกคลุมผิวหนัง ทาครีมกันแดด
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง อย่างการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน มีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า หรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค เช่น ไวรัสตับอักเสบ และไวรัส HPV
- ดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี ไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพเป็นระยะ
เรียบเรียงโดย : “เชียงใหม่นิวส์”
ร่วมแสดงความคิดเห็น