ร่องรอยประวัติศาสตร์ ศาสตร์การผลิตเครื่องมือหินในน่าน

การศึกษาโบราณคดีเกี่ยวกับ เครื่องมือหิน เปิดเผยเรื่องราวสำคัญของมนุษยชาติในอดีต ด้วยความคงทนของหินทำให้หลงเหลือหลักฐานมากที่สุดเมื่อเทียบกับวัสดุชนิดอื่น การวิเคราะห์รูปแบบและเทคนิคการผลิตเครื่องมือหินจากร่องรอยที่หลงเหลือบนพื้นผิว ช่วยให้นักโบราณคดีสามารถเชื่อมโยงข้อมูลกับแหล่งชาติพันธุ์วิทยาที่ปัจจุบันยังคงใช้วัสดุหรือวิธีการคล้ายกัน รวมถึงการทดลองผลิตเลียนแบบเพื่อศึกษาการใช้งานจริง

ในจังหวัดน่าน มีการค้นพบ แหล่งผลิตเครื่องมือหินสำคัญ ที่ตำบลดู่ใต้และตำบลนาซาว อำเภอเมือง พื้นที่ประกอบด้วยกลุ่มเขาหินยาว เช่น เขาหินแก้ว ดอยปู่แก้ว และภูซาง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องมือหินกระจายตัวในพื้นที่กว่า 10-12 ตารางกิโลเมตร หลักฐานที่พบมีทั้งสะเก็ดหิน ค้อนหิน ขวาน และเครื่องมือรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งเสียหายหรือยังไม่ได้ขึ้นรูปสมบูรณ์ พื้นที่ดังกล่าวถูกใช้เฉพาะในขั้นตอนการขึ้นรูปเครื่องมือ เนื่องจากขาดแหล่งน้ำที่จำเป็นสำหรับการขัดตกแต่ง

จากการสำรวจและทดลองหาค่าอายุทางวิทยาศาสตร์ เช่น การหาอายุด้วยคาร์บอนกัมมันตรังสี และ เทอร์โมลูมิเนสเซนซ์ พบว่ากิจกรรมการผลิตเครื่องมือหินในพื้นที่มีอายุระหว่าง 4,000-650 ปี มาแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องของการตั้งถิ่นฐานและการผลิตเครื่องมือหินในพื้นที่นี้

วัสดุที่ใช้ผลิตเครื่องมือหิน ประกอบด้วยหินหลากหลายชนิด เช่น แอนดิไซด์, ทัฟฟ์, ควอร์ตไซต์ และหินแปร เช่น มัดสโตน และ แซนด์สโตน โดยพบว่าหินแอนดิไซด์และมัดสโตนได้รับความนิยมในการผลิตมากที่สุด ซึ่งอาจขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของหิน ความง่ายในการหา และลักษณะการใช้งานของเครื่องมือ

เทคนิคการผลิต เครื่องมือหินในพื้นที่น่านมีการพัฒนาหลากหลายรูปแบบ เช่น การกะเทาะโดยตรง การกระแทกกับหินธรรมชาติ หรือการใช้สกัดจากเขาสัตว์ในการตกแต่งรูปทรง ทั้งนี้ พบว่ากระบวนการผลิตมีโอกาสผิดพลาดสูง เนื่องจากไม่สามารถปรับแต่งคุณสมบัติของวัตถุดิบได้มากนัก

นอกจากนี้ การสำรวจยังพบว่า แม้จะเข้าสู่ยุคที่มีการใช้โลหะ แต่การผลิตเครื่องมือหินในพื้นที่ยังคงมีบทบาทสำคัญ ซึ่งสะท้อนถึงความเหมาะสมทางเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการดำรงชีวิตด้วยเครื่องมือไม้และหิน

ภาพสะท้อนแห่งอดีต เครื่องมือหินในฐานะปฐมบทแห่งการดำรงชีวิต

บทเรียนจากแหล่งโบราณคดีในน่าน ไม่เพียงแต่บ่งบอกถึงเทคโนโลยีของมนุษย์ยุคโบราณ แต่ยังเชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตที่ยังคงส่งผลต่อชุมชนในปัจจุบัน ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้คือมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การศึกษาและอนุรักษ์ต่อไป

ที่มา : https://www.finearts.go.th/chiangmaimuseum/view/32509-%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B2-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99

ร่วมแสดงความคิดเห็น