มหากาพย์ การสร้างอุโมงค์ขุนตานรถไฟสายประวัติศาสตร์ของไทย

อุโมงค์ขุนตาน เป็นหนึ่งในผลงานทางวิศวกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในอดีต ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่น ความอุตสาหะ และความสามารถด้านวิศวกรรมในยุคที่เทคโนโลยียังไม่ก้าวหน้าเท่าปัจจุบัน อุโมงค์แห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณชายแดน ระหว่าง จังหวัดลำปางและลำพูน ถือเป็นทางรถไฟสายสำคัญที่เชื่อมโยงภาคกลางและภาคเหนือเข้าด้วยกัน โดยมีระยะทาง 1.3 กิโลเมตร และเคยครองสถิติอุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทย เป็นเวลากว่าศตวรรษ

อุโมงค์ขุนตานเริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2450 และเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2461 ใช้เวลารวมกว่า 11 ปีในการก่อสร้าง ภายใต้การดูแลของนายช่างชาวเยอรมัน นามว่า เอมิล ไอเซนโฮเฟอร์ (Emil Eisenhofer) ซึ่งเป็นผู้วางแผนและควบคุมโครงการทั้งหมด ความท้าทายของโครงการนี้ไม่ได้จำกัด อยู่ที่ภูมิประเทศที่ขรุขระและเต็มไปด้วยป่าดงพงไพรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัญหาด้านสุขภาพ เช่น การระบาดของโรคมาลาเรีย และความเสี่ยงจากสัตว์ป่า เช่น เสือ

ประวัติศาสตร์เบื้องหลังการก่อสร้างอุโมงค์ขุนตาน

การก่อสร้างอุโมงค์ขุนตานเริ่มต้น ในช่วงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อเนื่องถึงรัชกาลที่ 7 โดยใช้แรงงานหลากหลายชนชาติและกลุ่มชนชั้นในสังคมไทย ทั้งแรงงานทาส แรงงานชาวจีน และแรงงานชาวไทใหญ่ (ที่มักถูกเรียกอย่างเหยียดหยามว่า “เงี้ยว”) หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจที่สุดคือการใช้ “แรงงานฝิ่น” ในการขุดเจาะภูเขา

ในยุคนั้น คนจีนติดฝิ่นถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่มีข้อจำกัดทางสังคม แต่แรงงานกลุ่มนี้กลับมีคุณสมบัติพิเศษที่เหมาะกับการทำงานในพื้นที่ปิด เช่น การทำงานในอุโมงค์ เพราะพวกเขามีความอดทนต่อการขาดอากาศได้ดีกว่าคนทั่วไป ซึ่งเป็นผลมาจากการสูบฝิ่น

กระบวนการทำงานของแรงงานฝิ่น มีทั้งความโหดร้ายและน่าสลดใจ รัฐบาลไทยอนุญาตให้จัดหาและจำหน่ายฝิ่นให้กับแรงงานเหล่านี้อย่างเปิดเผย เพื่อให้พวกเขามีแรงทำงาน และหลีกเลี่ยงการหันไปทำสิ่งอื่นที่อาจขัดขวางการก่อสร้าง ทั้งนี้ ค่าฝิ่นจะถูกหักจากค่าแรงงานของพวกเขาโดยตรง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมทางชนชั้นในสังคมไทยยุคนั้น

การก่อสร้างที่ยากลำบาก

ความยากลำบากของโครงการนี้เริ่มต้นตั้งแต่การขุดเจาะภูเขา โดยใช้เพียงเครื่องมือพื้นฐาน เช่น ค้อน สิ่ว และชะแลง การขุดเจาะต้องดำเนินการตลอด 24 ชั่วโมง และใช้เวลานานถึง 8 ปี กว่าจะทะลุถึงปลายทาง อุปกรณ์ที่ใช้ในการระบายอากาศ เช่น “โคมเป็ด” ซึ่งเป็นโคมไฟแบบอัดลม ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยแรงงานในการทำงานในพื้นที่ที่อากาศเบาบาง

นอกจากปัญหาเรื่องเครื่องมือแล้ว การขนย้ายเศษหินจำนวนมหาศาลจากอุโมงค์ยังเป็นอุปสรรคสำคัญ หินที่ได้จากการขุดเจาะกว่า 60,000 ลูกบาศก์เมตรถูกนำไปถมลำห้วยบริเวณปากอุโมงค์ และพื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นสถานีรถไฟขุนตานในปัจจุบัน

ปริศนาที่มาของชื่อ “ขุนตาน”

ชื่อของอุโมงค์แห่งนี้สะกดได้ทั้ง “ขุนตาน” และ “ขุนตาล” แต่คำที่ถูกต้องตามหลักประวัติศาสตร์คือ “ขุนตาน” เนื่องจากคำว่า “ตาน” ไม่เกี่ยวข้องกับต้นตาล แต่มีรากศัพท์ที่มาจากคำว่า “ขุนธาร” ซึ่งหมายถึงแหล่งน้ำในหุบเขา

อีกหนึ่งทฤษฎีอธิบายว่า ชื่อ “ขุนตาน” อาจมาจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เมื่อ “พระญาเบิก” กษัตริย์แห่งเขลางค์นครได้ทำศึกต้านกองทัพของขุนคราม บุตรชายของพญามังราย และเสียชีวิตในสมรภูมิ ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับชื่อ “ศาลเจ้าพ่อขุนตาน” ที่ชาวบ้านในพื้นที่ยังเคารพนับถือ

แม้ว่าอุโมงค์ขุนตานจะสูญเสียตำแหน่งอุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ให้กับอุโมงค์สายมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระในปี พ.ศ. 2565 ด้วยระยะทาง 5.85 กิโลเมตร แต่อุโมงค์ขุนตานยังคงมีความสำคัญในฐานะสถานที่เชิงประวัติศาสตร์ และเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญสู่แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ เช่น อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล

ที่สำคัญ อัฐิของ เอมิล ไอเซนโฮเฟอร์ ยังคงตั้งอยู่ที่อนุสรณ์สถานบริเวณปากอุโมงค์ด้านทิศเหนือ ซึ่งสะท้อนถึงความรักและความผูกพันของเขาต่อดินแดนแห่งนี้ แม้จะเป็นชาวต่างชาติ

มรดกทางวิศวกรรมและแรงงานผู้สังเวยชีวิต

อุโมงค์ขุนตานไม่ได้เป็นเพียงแค่โครงสร้างทางวิศวกรรม แต่ยังเป็นอนุสรณ์สถานที่สะท้อนถึงความยากลำบากและการเสียสละของแรงงานจำนวนมากในอดีต ซึ่งบางคนต้องแลกด้วยชีวิต นับเป็นเครื่องเตือนใจถึงความไม่เท่าเทียมในสังคม และความอดทนที่นำมาสู่ความสำเร็จในท้ายที่สุด

อุโมงค์ขุนตานจึงเป็นมากกว่าสิ่งก่อสร้าง มันคือบทเรียนทางประวัติศาสตร์ ที่รวมเอาความพยายาม ความเจ็บปวด และความทรงจำของผู้คนในยุคสมัยหนึ่งไว้อย่างน่าจดจำ

ที่มา : https://www.silpa-mag.com/history/article_116883

https://www.sanook.com/travel/1426393

https://www.matichonweekly.com/culture/article_17957

ร่วมแสดงความคิดเห็น