เชียงใหม่ เมืองหลวงแห่งอาณาจักรล้านนา เคยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้า และวัฒนธรรมที่รุ่งเรือง แต่ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 21 อาณาจักรแห่งนี้ต้องเผชิญกับภัยสงครามและการเปลี่ยนแปลงอำนาจที่นำไปสู่การยึดครองโดยพม่า ซึ่งกินเวลานานกว่า 200 ปี (พ.ศ. 2101 – 2317) การปกครองของพม่าส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อล้านนา ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเชียงใหม่ถูกปล่อยให้เป็น เมืองร้าง นานกว่า 15 ปี ก่อนจะได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์โดยพระเจ้ากาวิละ
ล้านนาในเงื้อมมือพม่าจุดเริ่มต้นของการล่มสลาย
การยึดครองของพม่า (พ.ศ. 2101 – 2107) จุดเปลี่ยนสำคัญของล้านนาเกิดขึ้นในช่วง พ.ศ. 2101 เมื่อพระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์พม่าแห่งอาณาจักรตองอู ยกทัพเข้าตีเชียงใหม่ได้สำเร็จ นี่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การขยายอำนาจของพม่าที่ต้องการครอบครองพื้นที่สำคัญในสุวรรณภูมิ ทั้งเพื่อรวบรวมกำลังคน และควบคุมเส้นทางการค้า
แม้ว่าหลังจากนั้นอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนเรศวรจะสามารถปลดแอกเชียงใหม่จากพม่าได้ระยะหนึ่ง แต่สุดท้ายพม่าก็สามารถกลับมายึดคืนได้อีก ทำให้ล้านนาต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของพม่าต่อไป
สองยุคแห่งการปกครองล้านนาโดยพม่า
ยุคแรก (พ.ศ. 2101 – 2207) ปกครองผ่านเจ้านายพื้นเมือง
ในช่วงร้อยปีแรกของการปกครองพม่า พม่ายังไม่มีอำนาจที่มั่นคงนักในล้านนา จึงใช้ระบบ “ปกครองผ่านเจ้านายท้องถิ่น” คือ อนุญาตให้เจ้านายล้านนามีบทบาทในการบริหารบ้านเมือง โดยอยู่ภายใต้การควบคุมของกษัตริย์พม่า แม้ว่าจะยังคงมีการต่อต้านจากชาวล้านนาเป็นระยะ แต่ระบบนี้ทำให้เชียงใหม่และเมืองอื่น ๆ ในล้านนา ยังสามารถรักษาโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมของตนเองได้บางส่วน
อย่างไรก็ตาม อยุธยายังคงพยายามเข้ามามีบทบาทในล้านนาเป็นระยะ เช่น ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระนารายณ์ แต่ก็ไม่สามารถรักษาอำนาจไว้ได้นาน
ยุคที่สอง (พ.ศ. 2207 – 2317) ปกครองโดยตรงและการทำลายล้านนา
หลังจากปี พ.ศ. 2207 พม่าปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ โดยหันมา ปกครองล้านนาโดยตรง ส่งขุนนางจากราชสำนักพม่ามาปกครองแทนเจ้านายล้านนา ทำให้ขุนนางท้องถิ่นมีอำนาจลดลง และพม่าก็เพิ่มภาระด้านภาษีและแรงงานแก่ประชาชนล้านนา ในช่วงนี้ เชียงแสน กลายเป็นฐานที่มั่นสำคัญของพม่า เนื่องจากอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สามารถควบคุมล้านนาและไทยใหญ่ได้ พม่าใช้เชียงแสนเป็นที่ตั้งทัพเพื่อปราบปรามการต่อต้านของชาวล้านนา
นโยบายของพม่าในช่วงปลายของการปกครองเป็นไปอย่างโหดร้าย ไม่เพียงแต่กดขี่ชาวล้านนา แต่ยัง ทำลายโครงสร้างของเมืองเชียงใหม่โดยตรง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ พ.ศ. 2306 ที่พม่ายกทัพเข้ากวาดต้อนชาวเชียงใหม่และพาคนจำนวนมากไปยังพม่า ส่งผลให้เชียงใหม่แทบจะร้างผู้คน
เชียงใหม่ล่มสลาย จากเมืองรุ่งเรืองสู่เมืองร้าง
หลังจากถูกพม่าควบคุมมานาน เชียงใหม่เริ่มเข้าสู่ช่วงตกต่ำอย่างหนัก เนื่องจากประชากรถูกกวาดต้อนไปยังพม่าเป็นจำนวนมาก ขณะที่บ้านเมืองก็ทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ
จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงในปี พ.ศ. 2317 เมื่อ พระเจ้ากาวิละ แห่งเมืองลำปาง และ พระยาจ่าบ้าน แห่งเชียงใหม่ ตัดสินใจ สวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าตากสินแห่งกรุงธนบุรี และร่วมกันทำสงครามขับไล่พม่าออกจากเชียงใหม่ได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2319 พม่ายกทัพกลับมายึดเชียงใหม่อีกครั้ง แม้กองทัพไทยและล้านนาจะสามารถตีพม่าแตกและยึดเมืองคืนได้ แต่พระเจ้าตากสินทรงเห็นว่า เชียงใหม่มีประชากรน้อยมากและขาดกำลังป้องกัน หากพม่ายกกลับมาอีก เมืองอาจจะต้องเสียอีกครั้ง จึงตัดสินใจ สั่งให้ทิ้งเมืองเชียงใหม่เป็นเมืองร้าง เชียงใหม่จึงถูกทิ้งร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2319 – 2339 เป็นเวลาถึง 15 ปี โดยไม่มีใครอาศัยอยู่
การฟื้นฟูเชียงใหม่ จากเมืองร้างสู่ศูนย์กลางล้านนาอีกครั้ง
เมื่อถึงรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้ ฟื้นฟูเชียงใหม่ขึ้นมาใหม่ โดยมอบหมายให้ พระเจ้ากาวิละ เป็นผู้นำในการสร้างเมืองขึ้นมาอีกครั้ง นโยบายสำคัญที่ทำให้เชียงใหม่กลับมามีชีวิตชีวาคือ “เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง” หมายถึง การกวาดต้อนผู้คนจากพื้นที่อื่น ๆ เช่น ไทยใหญ่ ลาว และชนเผ่าต่าง ๆ กลับเข้ามาตั้งรกรากในเชียงใหม่ ทำให้เมืองสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาเป็นศูนย์กลางล้านนาอีกครั้ง
จากรุ่งเรือง สู่ร้าง และการคืนชีพ
- เชียงใหม่ตกเป็นเมืองขึ้นของพม่าในปี พ.ศ. 2101 และอยู่ภายใต้การปกครองของพม่านานกว่า 200 ปี
- พม่าใช้สองยุทธศาสตร์ คือ ปกครองผ่านเจ้านายท้องถิ่นในช่วงแรก และปกครองโดยตรงในช่วงหลัง
- เชียงใหม่ถูกทำลายและประชากรถูกกวาดต้อน ทำให้เมืองเสื่อมโทรมลงเรื่อย ๆ
- พ.ศ. 2317 พระเจ้ากาวิละและพระยาจ่าบ้านร่วมกับพระเจ้าตากสิน ขับไล่พม่าออกจากเชียงใหม่ ได้สำเร็จ
- พ.ศ. 2319 พระเจ้าตากสินตัดสินใจ ทิ้งเชียงใหม่เป็นเมืองร้าง
- เชียงใหม่ร้าง 15 ปี ก่อนที่พระเจ้ากาวิละจะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่
จากจุดตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ เชียงใหม่สามารถฟื้นตัวกลับมาเป็นศูนย์กลางของล้านนาได้อีกครั้ง และยังคงเป็นหัวใจสำคัญของภาคเหนือมาจนถึงปัจจุบัน
ที่มา : https://www.silpa-mag.com/history/article_69047 , https://singlorpeariez.wordpress.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2/%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2/ , https://archive.lib.cmu.ac.th/full/T/2537/hist0437ls_ch3.pdf
รูปภาพจาก : https://singlorpeariez.wordpress.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2/%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2/
ร่วมแสดงความคิดเห็น