เครื่องเขินล้านนา ศิลปะพื้นถิ่นแห่งวิถีชีวิตและฐานะทางสังคม

“เครื่องเขิน” หนึ่งในภูมิปัญญางานฝีมือพื้นถิ่นของชาวล้านนา ได้รับการยกย่องว่าเป็นทั้งศิลปะและสัญลักษณ์แห่งฐานะทางสังคม แม้คำว่า “เครื่องเขิน” จะไม่ได้ปรากฏในภาษาพื้นถิ่นดั้งเดิมของเชียงใหม่ แต่คาดว่าคำนี้ถูกบัญญัติขึ้นโดยข้าราชการหรือชาวภาคกลางที่เข้ามายังภาคเหนือเมื่อราว 100 ปีก่อน ซึ่งสะท้อนถึงการหลอมรวมวัฒนธรรมระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่น ทั้งนี้ เครื่องเขินคือมรดกที่สืบทอดมาอย่างยาวนานโดยชาวเชียงใหม่ที่มีเชื้อสายไทเขิน เครื่องเขินศิลปะจากธรรมชาติสู่ของใช้ในชีวิตประจำวันเครื่องเขินคือภาชนะหรือของใช้ที่มีโครงสร้างภายในทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ไผ่ หวาย หรือไม้จริง ซึ่งเคลือบด้วยยางรักจากต้นรักสีดำมันเงา การเคลือบด้วยยางรักไม่เพียงแต่เพิ่มความแข็งแรงทนทาน แต่ยังกันน้ำและความชื้นได้ดี นอกจากนี้ ผิวของเครื่องเขินยังมีความเงางามและสามารถปรับแต่งเป็นพื้นผิวลวดลายต่าง ๆ ได้ ทำให้เพิ่มความสวยงามยิ่งขึ้น คุณสมบัติพิเศษของเครื่องเขิน คือมีน้ำหนักเบาและยืดหยุ่น ไม่แตกหักง่ายเหมือนเครื่องปั้นดินเผา เหมาะกับวิถีชีวิตของชาวล้านนาที่อาศัยในเรือนเครื่องผูก ซึ่งมีโครงสร้างส่วนใหญ่เป็นไม้ไผ่และเน้นความเรียบง่าย เครื่องเขินจึงกลายเป็นส่วนสำคัญในวิถีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นขันโตก หีบผ้า หรือกล่องเก็บของมีค่า ภาชนะบ่งบอกฐานะและเกียรติยศของเจ้าของบ้านนอกเหนือจากการใช้งานในชีวิตประจำวัน เครื่องเขินยังเป็นสัญลักษณ์ของฐานะทางสังคมในอดีต หีบผ้าของเจ้าบ่าวที่มีลวดลายวิจิตรสวยงาม แสดงถึงความมั่งคั่งของครอบครัวฝ่ายชาย ขันหมากที่ประดับประดาอย่างสวยงาม บ่งบอกถึงความประณีตและรสนิยมของเจ้าของบ้าน เครื่องเขินจึงกลายเป็นสมบัติที่เจ้าของบ้านใช้แสดงฐานะ และความภาคภูมิใจในสังคมล้านนา เครื่องเขินยังมีบทบาทสำคัญในพิธีกรรมบูชาผีบรรพบุรุษ เช่น ฟ้อนผีมด ผีเม็ง ซึ่งเป็นพิธีกรรมเซ่นไหว้ผีประจำตระกูล ในแต่ละพิธี ญาติพี่น้องในสายตระกูลเดียวกันจะนำขันดอก ขันไหว้ หรือภาชนะที่ใช้สำหรับเซ่นไหว้มารวมกันที่บ้านเจ้าภาพ ตระกูลใดมีเครื่องเขินที่สวยงามวิจิตร ก็จะได้รับการชื่นชมจากชุมชน ในทางกลับกัน หากไม่มีเครื่องเขินที่คู่ควร […]

“ขัวเก่า”สู่ “ขัวแขก” ตำนานสะพานข้ามแม่น้ำปิงแห่งแรกของเชียงใหม่

เชียงใหม่ สะพานวัดเกต หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ขัวเก่า” นับเป็นสะพานข้ามแม่น้ำปิงแห่งแรกของเมืองเชียงใหม่ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอินทวิชยานนท์ ราวปี พ.ศ. 2421 โดยหมอชีค (Marion A. Cheek) มิชชันนารีชาวอเมริกันผู้ผันตัวมาทำกิจการป่าไม้ สะพานแห่งนี้ทำจากไม้สักขนาดใหญ่ เชื่อมฝั่งวัดเกตการามกับตลาดต้นลำไย เป็นทางสัญจรสำคัญของชาวเชียงใหม่ในอดีต จากสะพานข้ามสู่ขัวเก่า ในช่วงแรกสะพานแห่งนี้เรียกว่า “ขัวกุลา” แต่เมื่อมีการสร้างสะพานนวรัฐซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำปิงแห่งที่สองในภายหลัง ชาวบ้านจึงเปลี่ยนมาเรียกสะพานวัดเกตว่า “ขัวเก่า” แสดงถึงความเก่าแก่และความสำคัญของสะพานที่เป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ ปี พ.ศ. 2475 เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากเมื่อขัวเก่าถูกกระแสน้ำหลากพัดซุงจำนวนมากมากระแทกตอม่อสะพาน จนทำให้สะพานทรุดเอียงและต้องรื้อทิ้ง รัฐบาลจึงสร้างสะพานชั่วคราวด้วยไม้ไผ่สานขัดแตะหรือ “ขัวแตะ” ซึ่งต้องสร้างใหม่ทุกปีเมื่อถูกกระแสน้ำพัดพังลง ขัวแขก อนุสรณ์แห่งความรักและน้ำใจ ในปี พ.ศ. 2507 โมตีราม หรือ มนตรี โกสลาภิรมณ์ พ่อค้าชาวอินเดีย ได้บริจาคเงินเพื่อสร้างสะพานถาวรขึ้นใหม่ ณ ที่ตั้งเดิม เพื่ออุทิศให้ภรรยาชื่อจันทร์สม สะพานจึงได้ชื่อว่า “สะพานจันทร์สมอนุสรณ์” หรือ “ขัวแขก” เป็นสะพานสำหรับคนเดินข้ามและมีการใช้งานต่อเนื่องมา เมื่อสะพานชำรุดอีกครั้งในปี พ.ศ. 2554 เทศบาลนครเชียงใหม่จึงจัดสรรงบประมาณเพื่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กที่แข็งแรงกว่าเดิม […]

“วัดอุโมงค์” มนต์เสน่ห์เจดีย์อุโมงค์ ศิลปะพุกามคู่ล้านนา

เชียงใหม่ – วัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) สถานที่อันเงียบสงบเชิงดอยสุเทพ เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่ง ด้วยเจดีย์ประธานองค์ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านเหนืออุโมงค์โบราณ สะท้อนถึงความรุ่งเรืองของศิลปะล้านนาและอิทธิพลจากพุกามในช่วงพุทธศตวรรษที่ 19 แม้วัดอุโมงค์จะเคยเป็นวัดร้างในอดีต แต่เจดีย์ประธานที่เหลือรอดกลับกลายเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุด ตั้งอยู่บนเนินสูง มีบันไดพญานาคทอดยาวนำขึ้นสู่เจดีย์ แม้ส่วนโครงสร้างจะได้รับการบูรณะ แต่หัวพญานาคยังคงเป็นของดั้งเดิมที่แสดงถึงฝีมือช่างโบราณที่ประณีต เอกลักษณ์สำคัญของเจดีย์นี้คือการตั้งอยู่เหนืออุโมงค์มนุษย์สร้าง ที่มีทางเดินประทักษิณภายใน สามารถเดินวนไปจนถึงใต้ฐานเจดีย์ได้ อุโมงค์นี้ไม่ได้มีไว้สำหรับนักท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียว แต่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่สำหรับภิกษุใช้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ถือเป็นสิ่งหายากในประเทศไทย โดยสันนิษฐานว่าผู้สร้างได้รับแรงบันดาลใจจาก “อู่มิน” หรือถ้ำวิหารในศิลปะพุกาม เช่น จ๊อกกูอูมิน (Kyauk Gu U Min) เจดีย์ประธานวัดอุโมงค์สร้างขึ้นในยุคแรกของศิลปะล้านนา ได้รับอิทธิพลจากเจดีย์ทรงระฆังแบบพุกามและลังกา ฐานเจดีย์ประดับด้วยลูกแก้วสามชั้นและช่องสี่เหลี่ยมโดยรอบ ส่วนยอดทรงกรวยประกอบด้วยปล้องไฉนและปลี บริเวณก้านฉัตรมีเทวดายืนเรียงราย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของวัดอุโมงค์แห่งนี้เพียงแห่งเดียวในประเทศ การบูรณะและอนุรักษ์ สะท้อนพัฒนาการศิลปะล้านนา เจดีย์วัดอุโมงค์ได้รับการบูรณะในรัชกาลของพระเมืองแก้ว มีการประดับลวดลายปูนปั้นที่ฐานใต้ทรงระฆัง รวมถึงการตกแต่งกลีบบัวที่แสดงถึงอิทธิพลศิลปะสุโขทัยและมอญ เจดีย์องค์นี้ถือเป็นหนึ่งในต้นแบบสำคัญของพัฒนาการเจดีย์ทรงระฆังในศิลปะล้านนา วัดอุโมงค์ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ทางพุทธศาสนาที่สำคัญ แต่ยังเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการผสมผสานทางศิลปะและวัฒนธรรมอันล้ำค่า สถานที่แห่งนี้ยังคงเป็นจุดหมายที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้แสวงบุญให้มาสัมผัสความสงบและความงามของประวัติศาสตร์ที่ยังคงหายใจอยู่ในปัจจุบัน ที่มา : เทศบาลตำบลสุเทพ , The cloud https://readthecloud.co/wat-umong-suan-puthatham http://www.suthep.go.th/travel_view.php?cateid=1&id=38

สืบสานงานทอมือ บ้านดอนหลวง จากวิถีชุมชนสู่มรดกวัฒนธรรม

“บ้านดอนหลวง” ศูนย์กลางผ้าฝ้ายทอมือแห่งล้านนา ยืนหยัดบนเส้นทางหัตถศิลป์กว่า 200 ปี ลำพูน – เมื่อกล่าวถึงผ้าฝ้ายทอมือที่มีเอกลักษณ์งดงามไม่แพ้ใคร “บ้านดอนหลวง” ตำบลแม่แรง อำเภอป่าซาง คือหมู่บ้านเล็กๆ ที่กลายเป็นศูนย์กลางของงานหัตถกรรมผ้าฝ้ายทอมือที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ด้วยประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 200 ปี ความงดงามของลวดลายผ้าและวิถีชีวิตดั้งเดิมยังคงสืบสานอยู่ไม่เสื่อมคลาย รากฐานภูมิปัญญา ชาวยองสู่ชุมชนผ้าทอ ชาวบ้านดอนหลวงเป็นชาวยองที่อพยพมาจากสิบสองปันนา ประเทศจีน นำภูมิปัญญาการทอผ้ามาพร้อมกับวัฒนธรรมดั้งเดิม ผ้าฝ้ายทอมือในยุคแรกถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้ภายในครัวเรือน โดยใช้ฝ้ายปลูกเองและย้อมด้วยสีธรรมชาติ ความสวยงามของผ้าทอแต่ละผืนสะท้อนถึงฝีมือช่างและความละเอียดอ่อนที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เมื่อความเจริญเข้ามาสู่ป่าซาง การทอผ้าของชุมชนดอนหลวงได้เปลี่ยนแปลงจากกิจกรรมในครัวเรือน กลายเป็นอาชีพหลักที่สร้างรายได้และความภาคภูมิใจให้แก่ชาวบ้าน การพัฒนาลวดลาย สีสัน และรูปแบบใหม่ๆ ได้ผสมผสานเข้ากับเทคนิคการทอแบบดั้งเดิม ทำให้ผ้าฝ้ายดอนหลวงมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ก้าวสู่ความสำเร็จ: รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ ในปี พ.ศ. 2535 ชาวบ้านได้ก่อตั้งกลุ่มทอผ้าเพื่ออนุรักษ์และพัฒนางานหัตถกรรมท้องถิ่น โดยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ส่งผลให้บ้านดอนหลวงได้รับรางวัล “หมู่บ้านอุตสาหกรรมดีเด่น” ในปี พ.ศ. 2542 และต่อมาในปี พ.ศ. 2549 ได้รับการยกย่องเป็น “หมู่บ้านโอท็อปเพื่อการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม” (OVC) สะท้อนถึงความสำเร็จในการรักษาเอกลักษณ์และส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน งาน “แต่งสีอวดลาย ผ้าฝ้ายดอนหลวง” […]

เปิดตำนาน ‘ลูกข่างพญามังราย’ การละเล่นล้านนาสืบทอดกว่า 750 ปี

ลูกข่างพญามังราย หนึ่งในสัญลักษณ์การละเล่นพื้นบ้านล้านนา มีต้นกำเนิดจากพระมหากษัตริย์พญามังรายในวัยเยาว์ ผู้ทรงโปรดการเล่นลูกข่างอย่างยิ่ง ท้าวรุ่งแก่นชาย ข้าราชบริพารจึงโปรดให้ช่างหล่อลูกข่างทองคำเพื่อถวายพระองค์ ส่งผลให้การละเล่นนี้แพร่หลายสู่ชาวบ้านและกลายเป็นกีฬาพื้นบ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชาวล้านนาจนถึงปัจจุบัน ลักษณะเด่นของลูกข่างพญามังราย ลูกข่างพญามังราย หรือที่รู้จักกันในชื่อ “บ่าข่างแม่” มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือ ไม่มีเดือย ซึ่งแตกต่างจาก “บ่าข่างปู้” หรือ ลูกข่างเชียงรายที่มีเดือยยาว ลูกข่างพญามังรายมีการออกแบบอย่างวิจิตรตามฝีมือช่างท้องถิ่น การเล่นจะใช้การเหวี่ยงแขนจากระดับศีรษะลงด้านล่าง โดยไม่กำหนดจุดหมุนและจุดขว้าง ทำให้สามารถหมุนได้ทั้งสองด้าน เป็นการเล่นที่เน้นทักษะและสมาธิ ความสำคัญทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญา แม้ลูกข่างชนิดอื่น เช่น ลูกข่างม้ง จะมีชื่อเสียงในเทศกาลปีใหม่ของชาวม้ง แต่ลูกข่างพญามังรายยังคงโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ที่แตกต่างทั้งในด้านรูปทรงและวิธีการเล่น อีกทั้งยังสามารถเล่นได้ตลอดเวลา จึงสะท้อนถึงความเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งในภูมิปัญญาของชาวล้านนา การละเล่นนี้ยังเป็นสื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชน เสริมสร้างความสามัคคีและความสนุกสนาน การอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ในยุคปัจจุบัน แม้ว่าการละเล่นพื้นบ้านจะลดความนิยมลงบ้าง แต่ลูกข่างพญามังรายยังคงได้รับความสนใจในแง่ของมรดกทางวัฒนธรรม มีการส่งเสริมให้เรียนรู้ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ในโรงเรียน และจัดแสดงในงานเทศกาลพื้นบ้าน เพื่อรักษาความรู้และภูมิปัญญานี้ให้คงอยู่ต่อไป ลูกข่างพญามังรายจึงไม่ใช่เพียงของเล่นในวัยเด็ก หากแต่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ยืนยันถึงความคิดสร้างสรรค์และสายใยแห่งความผูกพันระหว่างกษัตริย์กับประชาชน นับเป็นมรดกสำคัญที่สืบทอดมากว่า 750 ปีอย่างงดงามและทรงคุณค่า ที่มา : มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ https://ich-thailand.org/heritage/detail/629d76f1472e28a00d0ba6f9

อินทขิล เสาหลักเมือง ศรัทธาแห่งเชียงใหม่

“เสาอินทขิล” หรือเสาหลักเมืองเชียงใหม่ ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองที่สร้างขึ้นในสมัยพญามังรายมหาราช ผู้ก่อตั้งเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 1839 เสานี้เคยประดิษฐานอยู่ในวัดอินทขิลสะดือเมือง ก่อนจะถูกย้ายมายังวัดเจดีย์หลวงในสมัยพระเจ้ากาวิละเมื่อปี พ.ศ. 2343 หลังจากที่เชียงใหม่ได้รับการฟื้นฟูจากการขับไล่พม่าสำเร็จโดยความร่วมมือกับกองทัพพระเจ้าตากสินมหาราช เสาอินทขิลไม่ได้เป็นเพียงโบราณวัตถุ แต่ยังมีความสำคัญในฐานะศูนย์รวมแห่งความเชื่อของชาวเมือง โดยเชื่อกันว่าการตั้งเสาหลักเมืองเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมความมั่นคงให้แก่เมือง และกำหนดความรุ่งเรืองหรือความเสื่อมของเมืองได้ตามหลักโหราศาสตร์ โดยเสาอินทขิลนี้ทำจากไม้ซุงต้นใหญ่ ฝังลึกอยู่ใต้ดินเพื่อความแข็งแกร่ง ทุกปีในช่วงเดือนพฤษภาคม ชาวเชียงใหม่จะจัดพิธี “เข้าอินทขิล” เพื่อบูชาเสาหลักเมือง ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่สำคัญและยิ่งใหญ่ ผู้คนจำนวนมากจะเดินทางมาร่วมพิธีเพื่อขอพรให้ชีวิตมีความมั่นคง รุ่งเรือง และเสริมสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว พิธีกรรมนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความศรัทธา แต่ยังแสดงถึงความผูกพันระหว่างชาวเมืองกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโบราณของล้านนา ปัจจุบัน “เสาอินทขิล” ประดิษฐานอยู่ในวิหารจตุรมุขทรงไทยที่วัดเจดีย์หลวง และยังคงเป็นสถานที่ที่ชาวเชียงใหม่ให้ความเคารพนับถืออย่างสูง ด้วยความเชื่อว่าเสาหลักเมืองนี้จะช่วยคุ้มครองให้เมืองเชียงใหม่มีความสงบสุขและมั่นคงตลอดไป ที่มา : CBT Thailand, amazing Thailand https://cbtthailand.dasta.or.th/webapp/relattraction/content/558 https://thai.tourismthailand.org/Attraction/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%A5-%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87

วัดเจ็ดยอด โบราณสถานคู่เมืองเชียงใหม่

วัดเจ็ดยอด จ.เชียงใหม่ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนาของแคว้นล้านนา วัดนี้ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อปี พ.ศ. 2491 และได้รับการยกฐานะเป็นพระอารามหลวงในปี พ.ศ. 2549 จุดเริ่มต้นจาก “วัดมหาโพธาราม”วัดเจ็ดยอดก่อตั้งขึ้นในสมัยพระเจ้าติโลกราช เมื่อปี พ.ศ. 1998 โดยพระองค์ทรงนำหน่อพระศรีมหาโพธิ์จากวัดป่าแดงหลวงมาปลูกไว้ พร้อมกับสร้างเจดีย์จำลองรูปแบบจากพุทธคยา ประเทศอินเดีย โดยโปรดให้สีหโคตรเสนาบดี (หมื่นด้ามพร้าคต) เดินทางไปศึกษารูปแบบเจดีย์ที่นั่น การทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งสำคัญในปี พ.ศ. 2020 พระเจ้าติโลกราชทรงจัดให้มีการทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกในประเทศไทย และถือเป็นครั้งที่ 8 ของโลก โดยมีพระธรรมทินมหาเถระเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ การประชุมนี้ใช้เวลาถึง 1 ปี โดยบันทึกเป็นภาษาล้านนาด้วยอักษรล้านนา เอกลักษณ์สถาปัตยกรรมเจดีย์เจ็ดยอดเจดีย์เจ็ดยอดมีลักษณะเด่นคือ ยอดเจดีย์ 7 ยอดบนฐานสี่เหลี่ยม ประดับด้วยปูนปั้นรูปเทพยดาในอิริยาบถต่าง ๆ ทั้งนั่งขัดสมาธิและยืนพนมมือ สวมเครื่องทรงแบบโบราณ ลวดลายละเอียดอ่อนช้อย แม้บางส่วนจะชำรุดไปตามกาลเวลา แต่ยังคงความงดงามที่สะท้อนถึงศิลปะล้านนาในอดีตได้อย่างดี ปัจจุบันวัดเจ็ดยอดยังคงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเชียงใหม่และนักท่องเที่ยวที่สนใจศึกษาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมล้านนา ที่มา : https://wikicommunity.sac.or.th/community/1114

“ขันโตก” อารยธรรมการกินอันมีเสน่ห์ของคนเมือง

งานเลี้ยงขันโตกเป็นประเพณีดั้งเดิมของชาวล้านนาในภาคเหนือของประเทศไทย ที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง งานเลี้ยงแบบนี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงวัฒนธรรมการกินที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ยังสะท้อนถึงการรวมกลุ่มและความสัมพันธ์ทางสังคมของคนในชุมชน ขันโตกมีรากฐานมาจากวัฒนธรรมการกินของชาวล้านนาในภาคเหนือของประเทศไทย คำว่า “ขันโตก” มาจากคำว่า “ขัน” ซึ่งหมายถึงถาดหรือภาชนะสำหรับใส่อาหาร และ “โตก” ซึ่งหมายถึงโต๊ะเตี้ยที่ใช้วางอาหาร ขันโตกมักจะทำจากไม้และมีขนาดเล็กพอที่จะนั่งรับประทานอาหารรอบๆ ได้ ในอดีต ขันโตกมักถูกใช้ในงานเลี้ยงสำคัญ ๆ ของครอบครัวและชุมชน เช่น งานแต่งงาน งานบวช หรือเทศกาลสำคัญ การนั่งรับประทานอาหารรอบขันโตกยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวและชุมชน ทำให้การรับประทานอาหารเป็นกิจกรรมที่มีความหมายและความสำคัญมากยิ่งขึ้น ที่มา : khun Jeed

1 7 8 9