“พญามังรายและการก่อตั้งเมืองเชียงใหม่”

พญามังราย ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังราย ทรงเริ่มต้นการรวมแคว้นต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ในภูมิภาคภาคเหนือให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างอาณาจักรที่แข็งแกร่ง โดยในระยะแรก พญามังรายทรงรวมแคว้นโยนก (เมืองน่าน) ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย ก่อนที่จะขยายอำนาจไปยังหัวเมืองอื่น ๆ เพื่อรวมกันเป็นอาณาจักรใหญ่ ซึ่งการขยายอำนาจในช่วงแรกมีเป้าหมายที่แคว้นหริภุญไชย ซึ่งเป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองและมีอำนาจอยู่ในดินแดนแถบนี้ หลังจากพญามังรายยึดเมืองหริภุญไชยได้สำเร็จ ก็ได้ผนวกเมืองหริภุญไชยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นโยนก ทำให้ดินแดนของพระองค์ขยายออกไปกว้างขึ้น ในช่วงต่อมา พญามังรายได้ขยายอำนาจไปยังเมืองเขลางค์นคร (เมืองลำพูน) และเมืองต่าง ๆ จนทำให้พระองค์ครอบครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของภาคเหนือ รวมถึงได้ก่อตั้งอาณาจักรล้านนาขึ้น ซึ่งเป็นอาณาจักรที่มีอิทธิพลและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคนั้น นอกจากนี้ ยังทรงทำสัญญากับพญางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหงใน พ.ศ. 1830 เพื่อสร้างความสัมพันธ์และความมั่นคงในการขยายอำนาจของอาณาจักรล้านนา โดยมีข้อกำหนดว่าในการขยายอำนาจไปยังแม่น้ำปิง จะไม่ถูกขัดขวางจากทั้งพญางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหง หลังจากการยึดเมืองหริภุญไชย พญามังรายได้ครอบครองแคว้นดังกล่าวระยะหนึ่ง ก่อนที่จะย้ายเมืองหลวงจากเวียงกุมกามไปยังเมืองใหม่ เพื่อเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงถาวรของอาณาจักรล้านนา เนื่องจากเวียงกุมกามเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ ซึ่งมีปัญหาน้ำท่วมในช่วงฤดูน้ำหลาก ทำให้พญามังรายต้องค้นหาพื้นที่ใหม่ที่มีชัยภูมิที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ และในที่สุด พญามังรายก็พบพื้นที่ที่เหมาะสมที่ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง ซึ่งอยู่ตอนเหนือของเวียงกุมกาม ใกล้เชิงดอยสุเทพ พื้นที่นี้มีทิวทัศน์สวยงามและมีความเหมาะสมในการเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนา พญามังรายจึงทรงให้สร้างเมืองใหม่ที่มีชัยภูมิที่ดีกว่า และได้เชิญพญางำเมืองและพ่อขุนรามคำแหงมาร่วมพิจารณาในการสร้างเมืองหลวงใหม่แห่งนี้ เมืองใหม่นี้ได้รับการตั้งชื่อว่า “นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” ซึ่งหมายถึง “เมืองหลวงแห่งพระนครที่สวยงามบนดอยสุเทพ” โดยมีการคำนวณฤกษ์ยามตามปีสุริยคติ เพื่อให้การสร้างเมืองมีความเป็นมงคล โดยเมืองเชียงใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นในวันที่ 12 เมษายน […]

“การแพทย์ตะวันตกในเชียงใหม่” กว่าจะเป็นโรงพยาบาลแมคคอร์มิค

หลังจากมิชชันนารีจากคณะอเมริกันเพรสไบทีเรียนได้เริ่มเผยแพร่คริสต์ศาสนาในสยาม พวกเขาได้ขยายงานมายังหัวเมืองล้านนา โดยเฉพาะในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งศาสนาจารย์แดเนียล แมคกิลวารี (Rev. Daniel Mc Gilvary) ได้แสดงความประสงค์ขออนุญาตพระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงษ์ เพื่อเข้ามาทำงานเผยแพร่คริสต์ศาสนาและตั้งมิชชันนารีในเชียงใหม่ พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงษ์เห็นว่าโครงการนี้จะเป็นประโยชน์แก่ท้องถิ่น จึงทรงอนุมัติให้ดำเนินการได้ โดยมุ่งหวังในการเผยแพร่ศาสนา การจัดตั้งโรงเรียน และการรักษาผู้ป่วยในพื้นที่ ในปี พ.ศ. 2410 ศาสนาจารย์แมคกิลวารีและภรรยาของเขา นางโซเฟีย แมคกิลวารี ได้เดินทางมาถึงเชียงใหม่และพักอาศัยในศาลาย่าแสงคำซึ่งตั้งอยู่บนเส้นทางหลักของชุมชนจากที่นี่พวกเขาสามารถเผยแพร่คริสต์ศาสนาให้กับชาวบ้านและเริ่มให้คำปรึกษาและรักษาผู้ป่วยได้ อย่างไรก็ตามในช่วงแรกพวกเขาประสบปัญหาด้านการรักษาผู้ป่วยที่ท้องถิ่นไม่สามารถรักษาได้ จึงมีความจำเป็นต้องขอให้แพทย์เข้ามารับผิดชอบงานนี้ ในปี พ.ศ. 2425 คณะมิชชันนารีจากสหรัฐอเมริกาได้ส่งนายแพทย์ชาร์ล วรูแมน เข้ามาเป็นแพทย์มิชชันนารีคนแรกในเชียงใหม่ ทำให้การแพทย์ตะวันตกเริ่มเป็นที่รู้จักและมีความสำคัญในหมู่ชาวล้านนา นอกจากนี้ยังมีแพทย์คนอื่น ๆ ที่เข้ามาช่วยพัฒนาโรงพยาบาลต่อมา เช่น นายแพทย์แมเรียน เอ ชีค และนายแพทย์เอ.เอ็ม.แครี่ ในช่วงเวลานั้น การแพทย์ตะวันตกเริ่มมีบทบาทในเชียงใหม่ผ่านการขายยาสามัญราคาถูกและการให้บริการการรักษาแบบกึ่งการกุศล ในปี พ.ศ. 2431 โรงพยาบาลอเมริกันมิชชั่นได้เปิดให้บริการรักษาผู้ป่วยและผ่าตัดและเป็นโรงพยาบาลแห่งที่ 2 ในสยามและโรงพยาบาลแรกในภาคเหนือ ต่อมาในปี พ.ศ. 2433 เมื่อ นายแพทย์เจมส์ ดับบลิว แมคเคน […]

“พระเจ้าเก้าตื้อ” ความสมบูรณ์แบบของศิลปะเชียงแสนสิงห์สอง

พระเจ้าเก้าตื้อ เป็นพระพุทธรูปสำริดที่มีความสำคัญและโดดเด่นในประวัติศาสตร์ศิลปะของล้านนา โดยเฉพาะในแง่ของขนาดและสภาพที่สมบูรณ์ พระพุทธรูปนี้ถือเป็นหนึ่งในงานศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในประเภทเดียวกัน โดยมีขนาดหน้าตักกว้างถึง 2.90 เมตร และสูงถึง 3.87 เมตร คำว่า “เก้าตื้อ” ในที่นี้หมายถึงพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่มากและมีน้ำหนักถึง 9 ตื้อ ซึ่งเป็นหน่วยวัดที่ใช้ในท้องถิ่นล้านนา เพื่อบ่งบอกถึงขนาดที่มหึมาและน้ำหนักที่มาก ลักษณะทางศิลปะของพระเจ้าเก้าตื้อสะท้อนถึงความผสมผสานระหว่างศิลปะเชียงแสนสิงห์สองและศิลปะสุโขทัย โดยในยุคนี้ศิลปะเชียงแสนได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัยอย่างชัดเจน ซึ่งสามารถเห็นได้จากลักษณะของพระพักตร์ที่มีรูปทรงไข่ ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีที่เป็นเปลว และการประทับนั่งในท่าขัดสมาธิราบ อีกทั้งพระอังสาก็มีขนาดใหญ่และบั้นพระองค์ที่เล็ก ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของศิลปะล้านนาในช่วงกลางพุทธศตวรรษที่ 21 ส่วนพระสังฆาฏิของพระพุทธรูปก็มีลักษณะที่ยาวจรดพระนาภี ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของศิลปะยุคนั้น อย่างไรก็ตาม พระเจ้าเก้าตื้อไม่เพียงแค่แสดงออกถึงศิลปะล้านนาเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลจากศิลปะอยุธยาเข้ามาผสมผสานอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนของชายสังฆาฏิที่มีขนาดแผ่นใหญ่ ซึ่งถือเป็นลักษณะที่แตกต่างจากพระพุทธรูปในศิลปะล้านนาแบบดั้งเดิม การทำชายสังฆาฏิให้มีขนาดใหญ่และแผ่นยาวนี้เป็นลักษณะของการนำเอาศิลปะอยุธยามาผสมผสานกับศิลปะล้านนา สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางศิลปะและวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น พระเจ้าเก้าตื้อจึงไม่เพียงแค่เป็นพระพุทธรูปที่สวยงามและมีความสำคัญในเชิงศิลปะเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะและศาสนาในภูมิภาคล้านนาอีกด้วย มันเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเผยแพร่ศาสนาพุทธ และยังสะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรืองในสมัยเชียงแสน โดยเฉพาะการแสดงถึงความเคารพและศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า แหล่งข้อมูลพิพิธภัณฑ์สถานเชียงใหม่ https://www.finearts.go.th/chiangmaimuseum/view/37693

“งานไม้ดอกไม้ประดับ” เทศกาลแห่งดอกไม้และการส่งเสริมการท่องเที่ยว

งานไม้ดอกไม้ประดับเชียงใหม่ ถือเป็นหนึ่งในเทศกาลที่สำคัญและเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี 2520 เป็นต้นมา เทศกาลนี้ก็ได้สร้างชื่อเสียงและดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศให้มาเยือนเชียงใหม่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกไม้กำลังเบ่งบานอย่างสวยงามทั่วเมือง เห็นได้ชัดว่าเชียงใหม่มีความสำคัญทางด้านธรรมชาติและการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะที่สวนสาธารณะบวกหาดที่เป็นสถานที่จัดงานในปัจจุบัน พื้นที่แห่งนี้เหมาะกับการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและดอกไม้ รวมถึงการแสดงความสามารถทางการเกษตรของชุมชนในพื้นที่ด้วย นอกจากนี้ยังมีขบวนแห่บุปผชาติที่สวยงามและการประกวดนางงามบุปผชาติ ซึ่งทำให้เทศกาลนี้มีความสนุกสนานและหลากหลาย ทั้งในด้านความสวยงามของดอกไม้และวัฒนธรรมของเชียงใหม่ที่แฝงอยู่ในงานนี้ นอกจากนี้ยังมีการจัดนิทรรศการทางการเกษตรที่แสดงถึงวิถีชีวิตของเกษตรกรในเชียงใหม่และการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการปลูกและดูแลรักษาไม้ดอกไม้ประดับที่อาจจะเป็นประโยชน์ทั้งในด้านการศึกษาและการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรอีกด้วย อีกทั้งงานนี้ยังเปิดโอกาสให้กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรได้มีโอกาสออกมาจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากการเกษตร เช่น สินค้าเกษตรแปรรูป ดอกไม้ประดับและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น สำคัญที่สุดคืองานนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเฉลิมฉลองความงามของดอกไม้ แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้คนในชุมชนมีความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น ผ่านการท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมงานและการสนับสนุนจากผู้ประกอบการในพื้นที่ แม้ว่าเชียงใหม่จะเป็นที่รู้จักในเรื่องของธรรมชาติและทัศนียภาพที่งดงามอยู่แล้ว แต่การจัดงานไม้ดอกไม้ประดับเชียงใหม่ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของเมืองที่น่าสนใจมากขึ้น ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวและการเกษตรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

“ศาลเจ้าปุงเถ่ากง” ศาลเจ้าแห่งแรกของเชียงใหม่

ศาลเจ้าปุงเถ่ากง หรือ ปุนเถ่ากง เป็นศาลเจ้าจีนแห่งแรกในจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 140 ปี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิงในย่านวัดเกต ซึ่งในอดีตเคยเป็นท่าเรือสำหรับการค้าทางเรือของชาวจีนและเป็นศูนย์กลางการค้าขายในพื้นที่นั้น การอพยพของชาวจีนมาที่เชียงใหม่เริ่มต้นจากการค้าแบบม้าต่างวัวต่างและพัฒนามาเป็นการค้าผ่านการล่องเรือ ซึ่งได้มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคมของเชียงใหม่ในยุคก่อน ศาลเจ้าปุงเถ่ากง สร้างขึ้นจากแรงศรัทธาของชาวจีนในเชียงใหม่ ชื่อนี้มีความหมายว่า “ชุมชนดั้งเดิม” ในภาษาจีนแต้จิ๋ว และมีการสร้างขึ้นในช่วงสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจากมีการพบเลข 2416 บริเวณหลังคาของศาลเจ้า ในอดีตพื้นที่นี้เคยเป็นที่ตั้งของวัดเณรจิ๋ว ซึ่งมีเจดีย์ที่มีลักษณะคล้ายกับเจดีย์วัดเกตและเป็นที่บรรจุอัฐิพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะถูกทำลายไปในเวลาต่อมา ศาลเจ้าปุงเถ่ากงมีสถาปัตยกรรมแบบจีนโบราณและเป็นที่ประดิษฐานเทพเจ้าหลายองค์ที่สำคัญ เช่น เทพเจ้าปุนเถ่ากงม่า (เจ้าปู่เจ้าย่า) กวนอิม ไช้ซิ้งเหล่าเอี้ย (เทพเจ้าโชคลาภ) ฮั้วท้อเซียนซือ (เทพเจ้าโอสถ) และเทพเจ้าอื่นๆ ที่มีความสำคัญต่อความเชื่อของชาวจีน พิธีกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นในศาลเจ้า เช่น การเบิกเนตร (ไคกวง) และการอัญเชิญเจ้าสู่ที่ประทับ (เซ่งเต่ย) ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ศาลเจ้านี้มีความสำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรม ในปี พ.ศ. 2539 ซึ่งตรงกับงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษกและวาระสมโภช 700 ปีของเชียงใหม่ ศาลเจ้าปุงเถ่ากงได้ทำการบูรณะครั้งใหญ่ โดยการสร้างอาคารใหม่เพื่อทดแทนอาคารเก่า โดยมีการตกแต่งภายในอย่างสวยงามและเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2541 ศาลเจ้านี้จึงเป็นสถานที่สำคัญที่สะท้อนถึงการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างชาวล้านนาและชาวจีนในเชียงใหม่ ศาลเจ้าปุงเถ่ากงไม่เพียงแต่เป็นสถานที่เคารพบูชาเทพเจ้าเท่านั้น […]

“แหล่งบ้านแม่ลาน” การถลุงเหล็กในยุคโบราณ

แหล่งถลุงเหล็กโบราณบ้านแม่ลาน เป็นแหล่งที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีในประเทศไทย เนื่องจากเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตเหล็กแบบโบราณที่มีการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีมากมาย ซึ่งทำให้รู้ว่าในอดีตคนไทยมีความรู้ในการผลิตเหล็กมาแต่โบราณและใช้ในด้านต่างๆ ตั้งแต่เครื่องมือ อาวุธ ไปจนถึงการก่อสร้าง แหล่งถลุงเหล็กบ้านแม่ลาน ตั้งอยู่ในตำบลแม่ลาน อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี เป็นพื้นที่ที่มีแหล่งแร่เหล็กธรรมชาติอยู่ในบริเวณใกล้เคียง โดยชาวบ้านในอดีตใช้วิธีการถลุงเหล็กจากแร่เหล็กด้วยเทคนิคดั้งเดิมที่ใช้ถ่านไม้ในการให้ความร้อนภายในเตาหลอม ซึ่งวิธีนี้จะทำให้สามารถหลอมเหล็กได้จากแร่เหล็กธรรมชาติที่มีอยู่ในบริเวณนั้น การขุดพบแหล่งนี้ทำให้รู้ว่า คนโบราณมีการใช้เตาหลอมเหล็กแบบง่ายๆ แต่มีความประณีต โดยเตาหลอมที่พบจะมีลักษณะเป็นเตาหลอมชนิดที่ใช้ในการเผาและหลอมแร่เหล็กเพื่อให้ได้เหล็กที่มีคุณภาพในการใช้งาน เช่น ทำเป็นเครื่องมือเกษตร อาวุธ รวมถึงเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน หลักฐานที่พบในแหล่งนี้ยังช่วยยืนยันว่าคนโบราณมีการฝึกฝนและสืบทอดทักษะการผลิตเหล็กจากรุ่นสู่รุ่น นอกจากเตาหลอมเหล็กแล้ว ยังพบเศษเหล็กที่ถูกหลอมแล้ว รวมถึงเครื่องมือที่ใช้ในการขุดหรือแต่งเหล็ก เช่น ค้อนและอุปกรณ์โลหะอื่นๆ ซึ่งเป็นหลักฐานที่ยืนยันถึงการใช้งานและความชำนาญในการผลิตเหล็กของชุมชนโบราณในพื้นที่นี้ แหล่งถลุงเหล็กบ้านแม่ลานจึงมีความสำคัญทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และวิทยาศาสตร์ เนื่องจากเป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงให้เห็นถึงวิธีการผลิตเหล็กแบบดั้งเดิมในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจถึงการพัฒนาของเทคโนโลยีการผลิตวัสดุในสมัยโบราณ รวมทั้งอิทธิพลที่มีต่อเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่นั้นๆ อีกด้วย รูปภาพและแหล่งข้อมูล กรมศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ https://www.finearts.go.th/fad7/view/23592

จากฝ้ายสู่ผืนผ้า การทอผ้าของชาวกะเหรี่ยงบ้านห้วยขมนอก

กลุ่มผ้าทอกะเหรี่ยง หมู่ที่ 10 บ้านห้วยขมนอก ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ และเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงในภาคเหนือของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีการตั้งถิ่นฐานของชนกลุ่มนี้ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน และตาก การทอผ้าของชาวกะเหรี่ยงมีความสำคัญไม่เพียงแต่ในเชิงศิลปะ แต่ยังเป็นเครื่องมือในการแสดงออกถึงความเชื่อและวิถีชีวิตที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การทอผ้าในกลุ่มกะเหรี่ยง หมู่ที่ 10 บ้านห้วยขมนอกมีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน และเป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักของชุมชน เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การทำเสื้อผ้า ผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน รวมไปถึงการทำของขวัญและเครื่องใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ การทอผ้าเป็นงานฝีมือที่ต้องใช้ความชำนาญและความอดทนสูง โดยเฉพาะการใช้เครื่องทอแบบดั้งเดิมที่ชาวกะเหรี่ยงจะทำขึ้นมาเอง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะที่ต่างจากการทอผ้าทั่วไปในที่อื่น ลวดลายและความหมายของผ้าทอ ผ้าทอกะเหรี่ยงในหมู่บ้านห้วยขมนอกมักจะใช้ลวดลายที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ธรรมชาติ และชีวิตประจำวัน ลวดลายต่าง ๆ เช่น ลายดอกไม้ ลายสัตว์ หรือแม้กระทั่งลายที่แสดงถึงความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรม โดยเฉพาะการทอผ้าที่มีลวดลายหมากรุก (หรือที่เรียกว่า “ลายพันธุ์”) ซึ่งมักจะถูกใช้ในงานสำคัญ ๆ หรือการเฉลิมฉลองในชุมชน การทอผ้าของกลุ่มชาวกะเหรี่ยงจะต้องใช้เส้นใยธรรมชาติ เช่น ฝ้ายหรือใยสับปะรดที่ปลูกขึ้นในพื้นที่ภายในชุมชน ทำให้ผ้าที่ได้มีคุณภาพสูงและทนทาน นอกจากนี้ การย้อมผ้าด้วยสีจากธรรมชาติ เช่น สีจากเปลือกไม้ ใบไม้ หรือดิน […]

“วันเป็งปุ๊ด” ประเพณีตักบาตรเที่ยงคืนเสริมสิริมงคล

ประเพณีตักบาตรเที่ยงคืน หรือที่เรียกกันว่า “วันเป็งปุ๊ด” เป็นหนึ่งในประเพณีที่สำคัญของชาวล้านนาในภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งมักจะจัดขึ้นในทุกๆ วันพุธที่ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำของเดือนตามปฏิทินจันทรคติไทย โดยในแต่ละปีอาจจะมีการจัดงานเพียงครั้งเดียว บางปีอาจมีมากกว่าหนึ่งครั้ง หรือบางปีก็อาจไม่มีเลยก็ได้ เช่นเดียวกับปี 2567 ที่วันพุธที่ 22 พฤษภาคม ซึ่งนอกจากจะเป็นวันวิสาขบูชาแล้ว ยังตรงกับวันเป็งปุ๊ดอีกด้วย วันเป็งปุ๊ดถือเป็นวันที่ชาวล้านนามีความเชื่อว่าพระอุปคุตจะออกบิณฑบาตในร่างของสามเณรเพื่อโปรดสัตว์และเผยแผ่พระธรรม หากใครได้ใส่บาตรในวันนั้น ก็จะถือว่าได้ใส่บาตรกับพระอุปคุต ซึ่งจะได้รับอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่และทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความสุขและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งในด้านทรัพย์สินเงินทองและความเป็นสิริมงคลในชีวิตประจำวัน การตักบาตรเที่ยงคืนในวันเป็งปุ๊ด เป็นพิธีกรรมที่ชาวล้านนาให้ความสำคัญอย่างมากในทุกๆ ปี ในคืนวันเป็งปุ๊ด ชาวบ้านจะเตรียมข้าวสารอาหารแห้งไว้สำหรับใส่บาตรในเวลาที่พระอุปคุตจะออกบิณฑบาต โดยมักจะเป็นเวลายามเที่ยงคืน ซึ่งเป็นเวลาที่มีความศักดิ์สิทธิ์และเชื่อว่าเป็นเวลาที่พระอุปคุตจะเสด็จออกจากที่พักเพื่อโปรดสัตว์และผู้คนให้ได้รับอานิสงส์จากการทำบุญในครั้งนี้ ประเพณีนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำบุญเพื่อสะสมกุศลเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวิถีชีวิตและความเชื่อในด้านศาสนาและวิญญาณของชาวล้านนา ที่มีการปฏิบัติอย่างพิถีพิถันเพื่อเสริมความเจริญรุ่งเรืองให้กับชีวิต ชาวล้านนาถือว่า การตักบาตรในคืนวันเป็งปุ๊ดเป็นการสืบสานประเพณีโบราณที่สื่อถึงการเคารพต่อพระพุทธศาสนาและพระสงฆ์ รวมถึงการเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชน วันเป็งปุ๊ดจึงไม่ใช่แค่วันสำคัญทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นวันที่ชาวล้านนาได้รวมตัวกันทำบุญเพื่อเสริมสิริมงคลในชีวิต ทั้งในด้านการเงิน การงาน และสุขภาพ การได้ใส่บาตรพระอุปคุตในคืนวันเป็งปุ๊ดจึงเปรียบเสมือนการเริ่มต้นปีใหม่ในทางจิตใจที่เต็มไปด้วยความหวังและความสุข เพื่อให้ชีวิตเดินไปข้างหน้าอย่างมีความเจริญรุ่งเรืองตลอดปี แหล่งข้อมูล กรมศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ https://www.finearts.go.th/chiangmailibrary/view/49511

“หมู่บ้านป่าตาล” จากดินสู่ศิลป์ ตุ๊กตาดินยิ้มที่ใครก็หลงรัก

หมู่บ้านป่าตาล หรือที่รู้จักกันในชื่อ “หมู่บ้านมหัศจรรย์ดินยิ้ม” เป็นหนึ่งในแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะการสร้างสรรค์ตุ๊กตาดินเผาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชาวบ้านในพื้นที่แห่งนี้ ด้วยการผสมผสานระหว่างศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีอายุยาวนานกว่า 100 ปี ชุมชนหมู่บ้านป่าตาลได้กลายเป็นต้นแบบของวิสาหกิจชุมชนเชิงคุณธรรมและยังได้รับการยอมรับเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบของอำเภอหางดง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 ในอดีตการทำเครื่องปั้นดินเผาของชาวบ้านป่าตาลเริ่มต้นจากการใช้ดินเหนียวที่ขุดขึ้นมาจากไร่ปลายนาในช่วงเวลาว่างจากการทำไร่ทำนา โดยผลิตภัณฑ์หลักในช่วงนั้นคืออิฐมอญและเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันต่าง ๆ เช่น หม้อ และแจกัน แต่การผลิตตุ๊กตาดินเผานั้นยังไม่เกิดขึ้น จนกระทั่งชาวบ้านเริ่มพัฒนาเทคนิคการปั้น และสร้างสรรค์ตุ๊กตาดินเผาที่มีความพิเศษเป็นรูปเด็กไทยหน้ายิ้ม ซึ่งได้รับความนิยมจากทั้งนักท่องเที่ยวและคนในท้องถิ่น โดยตุ๊กตาดินเผานี้มีหลากหลายอิริยาบถ เช่น ตุ๊กตาเด็กเล่นรีรีข้าวสาร ตุ๊กตาเด็กนั่งชิงช้า ตุ๊กตาเด็กยืนไหว้ รวมถึงตุ๊กตาดินเผารูปสัตว์ต่าง ๆ ที่สะท้อนถึงความสามารถและความชำนาญในการปั้นดินเผาของชาวบ้านในพื้นที่นี้ หมู่บ้านป่าตาลนอกจากจะมีผลิตภัณฑ์ตุ๊กตาดินเผาแล้ว ยังมีการผลิตเครื่องปั้นดินเผาในรูปแบบอื่น ๆ เช่น แจกัน หม้อ กระปุกออมสิน และของใช้ในชีวิตประจำวัน โดยการทำเครื่องปั้นดินเผาเหล่านี้สะท้อนถึงศิลปะและความละเอียดในการทำงานที่มีมาตรฐานสูง สินค้าเหล่านี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความชำนาญทางศิลปะของชาวบ้านป่าตาล แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยเสริมสร้างรายได้ให้กับชุมชน ผ่านการจำหน่ายสินค้าในตลาดท้องถิ่นและการจำหน่ายให้กับนักท่องเที่ยว หมู่บ้านป่าตาลตั้งอยู่ในตำบลสันผักหวาน อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่เพียง 9 กิโลเมตร หรือประมาณ 15 นาที โดยสามารถเดินทางได้สะดวกจากตัวเมืองเชียงใหม่โดยรถยนต์ การเดินทางจากสี่แยกสนามบิน เชียงใหม่ ผ่านห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัสและบิ๊กซี […]

“วัดปันเสา” มรดกทางศาสนาและวัฒนธรรมของเชียงใหม่

วัดปันเสา หรือบางครั้งเรียกกันว่า “วัดพันเสา” เป็นวัดที่มีชื่อเสียงในจังหวัดเชียงใหม่ ด้วยลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและมีความสำคัญทั้งในด้านประวัติศาสตร์และศาสนา วัดแห่งนี้ได้รับชื่อว่า “วัดปันเสา” เนื่องจากลักษณะเด่นของโครงสร้างที่มีเสาหรือเสาไม้จำนวนมาก ซึ่งสร้างความสง่างามและความแปลกตาให้กับวัด ทำให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมสำหรับผู้มาเยือนจากทั้งในและต่างประเทศ ตามประวัติศาสตร์ของวัดปันเสา วัดนี้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์มังราย ในช่วงศตวรรษที่ 14 หรือประมาณ 700 ปีมาแล้ว โดยมีบทบาทสำคัญในด้านศาสนาและวัฒนธรรมของเมืองเชียงใหม่ในยุคนั้น วัดนี้ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางของการศึกษาและการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในชุมชนท้องถิ่นด้วย ลักษณะสถาปัตยกรรมของวัดปันเสาคือจุดที่ทำให้วัดแห่งนี้มีความโดดเด่น วิหารและเจดีย์ภายในวัดมีการตกแต่งอย่างประณีต โดยเฉพาะเสาที่ใช้ในการสร้างวิหารและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ซึ่งจำนวนเสาเหล่านี้เป็นลักษณะเฉพาะที่ทำให้วัดแห่งนี้ได้รับชื่อว่า “ปันเสา” หรือ “พันเสา” เมื่อมองจากมุมสูงจะเห็นลักษณะของเสาที่มีจำนวนมากมายเรียงรายอยู่รอบตัววิหาร สร้างความรู้สึกสงบและสง่างามให้กับผู้ที่มาเยือน วัดปันเสานอกจากจะเป็นสถานที่ทางศาสนาแล้ว ยังเป็นที่จัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมและประเพณีต่างๆ เช่น การจัดงานประเพณีสงกรานต์ พิธีกรรมทางพุทธศาสนา และงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาในศาสนา ถือเป็นสถานที่ที่ผู้คนในท้องถิ่นและผู้เดินทางจากที่ต่างๆ มักจะมาร่วมกิจกรรมและขอพรจากพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในวัด การเดินทางไปยังวัดปันเสานั้นสะดวกสบายจากตัวเมืองเชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทางเพียงไม่กี่นาที คุณสามารถใช้รถยนต์หรือจักรยานยนต์ไปถึงได้ง่ายดาย โดยรอบๆ วัดยังมีบรรยากาศธรรมชาติที่ร่มรื่น เหมาะแก่การพักผ่อนและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์

การสร้างและความหมายของหัมยนต์ในวัฒนธรรมล้านนา

หำยนต์ หรือที่บางคนเรียกว่า “หัมยนต์” คือแผ่นไม้แกะสลักที่มีขนาดเท่ากับความกว้างของประตู และมักจะถูกวางอยู่เหนือกรอบประตูห้องนอนในเรือนล้านนา ในอดีตนั้นหำยนต์ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องประดับหรือส่วนประกอบของสถาปัตยกรรมที่ใช้ตกแต่งบ้านเรือนเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในด้านความเชื่อและการปกป้องบ้านเรือนจากภัยอันตรายที่มองไม่เห็น คำว่า “หำยนต์” เกิดจากการผสมคำสองคำ คือ “หำ” ซึ่งแปลว่า “อัณฑะ” หรือ “สิ่งรวมพลังของบุรุษชน” และ “ยนต์” ซึ่งมาจากคำในภาษาสันสกฤตว่า “ยนตร” หรือ “ยันตร์” ที่หมายถึงสิ่งที่มีอำนาจในการป้องกันภัยและอันตราย โดยมีความเชื่อว่า หำยนต์ทำหน้าที่เหมือนยันต์ที่คอยปกป้องบ้านจากสิ่งชั่วร้ายและภัยที่ไม่ดี โดยเฉพาะในห้องนอน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ชาวล้านนาเชื่อว่าเป็นจุดที่ผู้คนต้องการความปลอดภัยจากภัยภายนอก การออกแบบหำยนต์นั้นมีความเฉพาะตัว โดยส่วนใหญ่จะมีลวดลายแกะสลักที่แสดงถึงความเชื่อและความศักดิ์สิทธิ์ของชาวล้านนา เช่น ลายพญานาคที่มีหลายเศียร ซึ่งเชื่อว่าเป็นสัตว์ที่คอยปกป้องคุ้มครองเจ้าของบ้านจากอันตราย ลายเครือเถาที่มักจะเป็นลวดลายของใบไม้และดอกไม้ต่างๆ ซึ่งมีความหมายถึงความเติบโตและการเจริญรุ่งเรือง ลายเมฆที่แสดงถึงความสงบสุข หรือแม้แต่ลายซุ้มแก้วที่มักถูกใช้เพื่อเสริมสิริมงคลให้แก่บ้าน หำยนต์มักถูกทำจากไม้สักที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการแกะสลัก ช่างแกะสลักจะเริ่มต้นจากการร่างลวดลายบนไม้ด้วยการใช้สิ่ว และบางครั้งก็มีการใช้เทคนิคการฉลุลาย เพื่อให้ได้ลวดลายที่โปร่งและสะดุดตา ลวดลายที่แกะสลักบนหำยนต์มักจะเป็นลวดลายที่มีความสมมาตร โดยลวดลายหลักมักจะถูกวางอยู่ตรงกลางแผ่นไม้ และลายที่อยู่รอบๆ ก็จะถูกผูกสัมพันธ์กันอย่างลงตัว หนึ่งในความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับหำยนต์คือการใช้เท้าวัดความกว้างของประตู ซึ่งมักจะวัดจากความยาวของเท้าของเจ้าของบ้าน หรือผู้ชายในครอบครัว ชาวล้านนาเชื่อว่าเท้าคือส่วนที่ต่ำที่สุดของร่างกายและเป็นสิ่งที่ไม่เป็นมงคล การใช้เท้าวัดจึงเป็นการข่มสิ่งไม่ดีและสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้ามาในบ้าน หำยนต์ที่มีความกว้างตามความยาวของเท้าจะช่วยให้บ้านมีความเป็นมงคล และป้องกันภัยจากสิ่งชั่วร้ายที่อาจเข้ามาภายในบ้าน การสร้างหำยนต์นั้นมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับการสร้างบ้านใหม่ โดยเจ้าของบ้านจะทำพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อเสริมสิริมงคลให้แก่บ้านและผู้อยู่อาศัย พิธีกรรมเหล่านี้จะรวมถึงการ “ถอน” […]

กาแล ความเชื่อและวิวัฒนาการของการประดับหลังคาเรือนล้านนา

กาแล คือ ไม้แกะสลักที่ประดับอยู่บนยอดจั่วหลังคาของเรือนล้านนา ซึ่งมีความสำคัญทั้งในด้านความเชื่อและการใช้งานทางสถาปัตยกรรม ในอดีตชาวล้านนาเชื่อว่า การมีกาแลประดับหลังคาช่วยป้องกันไม่ให้แร้งหรือกาเกาะหลังคา เพราะหากนกเหล่านี้มาที่หลังคาจะถือว่าเป็นสิ่งอัปมงคล การมีไม้แกะสลักรูปกาแลจะช่วยกันนกและสัตว์เหล่านี้ได้ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อในช่วงที่พม่าปกครองล้านนา ว่ากาแลเป็นเครื่องรางที่ใช้เพื่อป้องกันการทรยศจากชาวล้านนา โดยมีแรงบันดาลใจจากประเพณีฝังศพในสมัยโบราณ ที่จะปักไม้ไขว้บนหลุมฝังศพเพื่อไม่ให้วิญญาณหนีหาย ความเชื่อนี้ถูกนำมาใช้ในกาแลเพื่อกดข่มการทรยศและรักษาความมั่นคง อีกหนึ่งทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับกาแลคือการที่มันเป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวยและอำนาจในสังคมล้านนา โดยมีการบูชายัญกระบือเพื่อบูชาผีบรรพบุรุษและการประดับเขากระบือบนยอดหลังคาบ้านก็ถือเป็นการแสดงฐานะของเจ้าของเรือนในสมัยก่อน เมื่อเวลาผ่านไป การประดับไม้แกะสลักแทนเขากระบือก็กลายเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาในรูปแบบของกาแล การประดับกาแลยังสะท้อนถึงวิวัฒนาการทางสถาปัตยกรรมของชาวล้านนาอีกด้วย ในอดีตเมื่อยังใช้ไม้ไผ่ในการสร้างบ้าน การใช้ไม้ไผ่ไขว้กันที่ยอดหลังคาช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับโครงสร้าง เมื่อมีการเปลี่ยนมาใช้ไม้จริงในการสร้างบ้าน ไม้ไขว้ที่ใช้ในสมัยก่อนก็ถูกพัฒนาเป็นการแกะสลักไม้สวยงามที่เรียกว่า “กาแล” และยังคงประดับบนยอดจั่วของบ้านจนถึงปัจจุบัน ความสำคัญของกาแลไม่ได้จำกัดแค่ในล้านนา แต่ยังพบได้ในหลายประเทศในเอเชีย เช่น พม่า ลาว และเวียดนาม ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กาแลอาจเป็นลักษณะร่วมกันในการสร้างบ้านของหลายชนชาติที่มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องโครงสร้างหลังคา การประดับกาแลจึงไม่เพียงแค่เป็นเอกลักษณ์ทางความเชื่อของชาวล้านนา แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการทางสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงความเป็นมาของสังคมในแต่ละยุคด้วย รูปภาพและแหล่งข้อมูล : คลังความรู้ล้านนา https://accl.cmu.ac.th/Knowledge/details/2188

1 2 3 4 5