ความเป็นมาเจดีย์ทรงมณฑป “วัดป่าสัก”

ตามบันทึกประชุมพงศาวดารภาคที่ 61 กล่าวว่าพญาแสนภู กษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์มังราย ทรงสร้างวัดป่าสักขึ้นในปี พ.ศ. 1838 (จ.ศ. 657) เพื่อเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุโคปกะ (กระดูกตาตุ่มข้างขวา) ที่นำมาจากเมืองปาฏลีบุตร ประเทศอินเดีย และทรงปลูกต้นสักจำนวน 300 ต้นล้อมรอบกำแพงวัด จึงเรียกว่าวัดป่าสัก ต่อมาได้สร้างกุฏิถวายแด่พระพุทธโฆษาจารย์เพื่อจำพรรษา พร้อมทั้งอภิเษกให้เป็นสังฆราช โบราณสถานที่สำคัญในวัดป่าสักมีโบราณสถานหลายแห่ง ทั้งเจดีย์ วิหาร และอุโบสถ โดยจุดเด่นสำคัญ ได้แก่ ส่วนฐาน ด้านล่างสุดมีฐานเขียงรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสและฐานบัว โดยในแต่ละด้านมีซุ้มคูหาประดิษฐานพระพุทธรูปปางเปิดโลก และเทวรูป รวมถึงพระพุทธรูปปางลีลาในด้านทิศเหนือ มีการตกแต่งปูนปั้นประดับซุ้ม และลายสลักรูปต่าง ๆ เช่น ลวดลายพันธุ์พฤกษา และรูปสัตว์ เช่น หน้ากาล นาค สิงห์ และครุฑ ส่วนเรือนธาตุ เป็นชั้นที่อยู่เหนือฐาน มีซุ้มจระนำประดิษฐานพระพุทธรูปปางเปิดโลก ด้านบนตกแต่งด้วยลายปูนปั้นบัวคว่ำบัวหงายและลวดลายอื่น ๆ ในศิลปะพุกาม ส่วนยอด ประดับด้วยปูนปั้นรูปคนแคระทำท่าแบกเจดีย์ ส่วนบนสุดเป็นองค์ระฆังทรงกลม มีลวดลายประจำยาม และปลายยอดมีปล้องไฉน ปลียอดและเม็ดน้ำค้าง […]

จากคูคันดินสู่กำแพงเมือง “เรื่องราวเวียงแพร่”

เวียงแพร่ เป็นชุมชนโบราณที่มีคูคันดินและกำแพงเมืองล้อมรอบ โดยมีลักษณะเป็นเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีกำแพงเมือง 1 ชั้นและคูเมือง 1 ชั้น ขุดล้อมรอบเนินดินธรรมชาติที่เกิดจากตะกอนทับถมของแม่น้ำยม รวมทั้งหมด 3 เนิน ตัวเมืองมีขนาดกว้างที่สุดประมาณ 830 เมตร และยาวที่สุดประมาณ 1,466 เมตร เดิมมีประตูเมือง 4 ประตู ได้แก่ ประตูชัย ประตูยั้งม้า ประตูศรีชุม และประตูมาน ความสำคัญทางประวัติศาสตร์เวียงแพร่เคยเป็นศูนย์กลางของนครรัฐแพร่ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 1986 พระเจ้าติโลกราชแห่งอาณาจักรล้านนาโปรดให้ทัพหลวงมาตีเมืองแพร่ ซึ่งในขณะนั้นปกครองโดยท้าวแม่นคุณ หลังจากนั้นเมืองแพร่ก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของพม่าและกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของสยามในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี ในช่วงรัตนโกสินทร์เมืองแพร่ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งใน 5 หัวเมืองประเทศราชที่สำคัญของสยาม โดยมีเมืองขึ้น 2 เมือง ได้แก่ เมืองสองและเมืองม่าน การขุดค้นทางโบราณคดีมีการขุดค้นเวียงแพร่ทางโบราณคดีทั้งหมด 4 ครั้ง ซึ่งได้ค้นพบหลักฐานที่มีความสำคัญ ดังนี้ การขุดค้นทางโบราณคดีทั้ง 4 ครั้งทำให้ทราบว่า เวียงแพร่ ถูกสร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 19 และมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ 22 โดยพบหลักฐานทางวัตถุที่สะท้อนถึงการติดต่อค้าขายกับแหล่งผลิตสำคัญ […]

“พญาพล” ผู้วางเสาหลักศรัทธาเมืองแพร่

เมืองแพร่ นอกจากจะมีความสำคัญในฐานะเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและศาสนามาแต่โบราณ การสร้างเมืองบนที่ราบลุ่มแม่น้ำยมทำให้เมืองแพร่กลายเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การตั้งถิ่นฐานและทำการเกษตร นอกจากนี้เมืองแพร่ยังเป็นศูนย์กลางการค้าขายและการคมนาคมที่สำคัญในยุคสมัยนั้น เนื่องจากมีเส้นทางเชื่อมโยงไปยังเมืองใกล้เคียง เช่น เมืองเชียงแสน เมืองน่าน และเมืองสุโขทัย วัดหลวงศูนย์กลางศาสนาประจำเมือง“วัดหลวงสมเด็จ” หรือ “วัดหลวง” ที่สร้างขึ้นโดยพญาพล เป็นวัดแห่งแรกของเมืองแพร่ โดยนอกจากจะเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมืองแล้ว ยังเป็นสถานที่ประกอบศาสนพิธีและการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคแรกเริ่มของเมืองแพร่ ภายในวัดหลวงยังมีสิ่งก่อสร้างที่สำคัญ ได้แก่ พระอุโบสถเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตามแบบศิลปะล้านนาตอนต้นและเจดีย์ทรงระฆังที่สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งชาวเมืองแพร่เคารพสักการะมาอย่างยาวนาน สืบสานความรุ่งเรืองผ่านยุคสมัยหลังจากการครองราชย์ของพญาพล เมืองแพร่ได้ถูกปกครองโดยท้าวพหุสิงห์ราชบุตรผู้สืบราชบัลลังก์ต่อจากพระบิดาในปี พ.ศ. 1387 ท้าวพหุสิงห์ได้สานต่อพระราชปณิธานในการพัฒนาเมือง ทั้งการสร้างวัดวาอาราม การเสริมความมั่นคงของคูเมืองและกำแพงเมือง รวมถึงการดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนให้มีความสงบสุข ความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองแพร่เมืองแพร่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ศูนย์กลางความเจริญทางศาสนา แต่ยังเป็นพื้นที่ที่แสดงให้เห็นถึงความผสมผสานทางวัฒนธรรมของกลุ่มชนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ชาวไทลื้อ ไทเขิน และชาวพื้นเมืองที่อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน ส่งผลให้เมืองแพร่มีเอกลักษณ์ทั้งในด้านประเพณี ศิลปกรรม และสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะวัดวาอารามที่ยังคงหลงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบัน เช่น วัดหัวข่วง วัดศรีชุม และวัดพระธาตุช่อแฮ ซึ่งล้วนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่แสดงถึงความรุ่งเรืองของเมืองแพร่ในอดีต พญาพล ผู้เป็นต้นกำเนิดของเมืองแพร่ ไม่เพียงแต่สร้างบ้านแปงเมืองเท่านั้น แต่ยังได้สร้างพื้นฐานทางศาสนาและวัฒนธรรมที่มั่นคงสืบต่อมาถึงปัจจุบัน เมืองแพร่จึงถือเป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมคู่กับดินแดนไทยมาอย่างยาวนาน ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา รูปภาพและแหล่งข้อมูล : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดแพร่ https://phrae.prd.go.th/th/content/category/detail/id/9/iid/218061

“ผ้าตีนจกเมืองลองภูมิปัญญาสร้างสรรค์จากอดีต”

การทอผ้าตีนจกของเมืองลองนั้นไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่ามีจุดเริ่มต้นเมื่อใด แต่เชื่อว่ามีมายาวนานกว่า 200 ปี โดยอ้างอิงจากหลักฐานภาพถ่ายของเจ้านายฝ่ายหญิงเมืองแพร่ในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2445 ซึ่งปรากฏว่าผ้าซิ่นมักมีเชิงซิ่นเป็นผ้าตีนจก เชื่อว่าน่าจะเป็นผลงานของช่างทอผ้าจากเมืองลอง อีกหนึ่งหลักฐานสำคัญคือภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดเวียงต้า ตำบลเวียงต้า อำเภอลอง ซึ่งเป็นผลงานของช่างพื้นบ้านในอดีต ภาพเหล่านี้แสดงถึงวิถีชีวิตและการแต่งกายของชาวเมืองลองในสมัยนั้น โดยพบว่าผ้าซิ่นที่ผู้หญิงในภาพสวมใส่มีลักษณะเป็นซิ่นตีนจก การทอผ้าตีนจกในอดีตมักทำขึ้นเพื่อใช้ในครอบครัวในโอกาสพิเศษหรือใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น งานบุญ งานแต่งงาน รวมถึงใช้เป็นผ้าคลุมศพสำหรับตัวเองผ้าตีนจกเมืองลองมีเอกลักษณ์โดดเด่นในเรื่องลวดลายและสีสัน ซึ่งมีความงดงามและประณีต บางผืนใช้เวลาทอถึงหลายปี ลวดลายเหล่านี้สะท้อนความเชื่อและวัฒนธรรมของผู้คนในท้องถิ่น เช่น ลายนกคู่กินน้ำ ลายสำเภาลอยน้ำ ลายดอกหมากและลายขอเครือ เป็นต้น ลักษณะลวดลายของผ้าตีนจกเมืองลองลวดลายของผ้าตีนจกเมืองลองแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่ การสืบทอดงานทอผ้าตีนจกเมืองลองหนึ่งในบุคคลสำคัญที่อนุรักษ์และพัฒนางานทอผ้าตีนจกคือ นางประนอม ทาแปง ศิลปินแห่งชาติ พ.ศ. 2553 สาขาทัศนศิลป์ (ประณีตศิลป์ – ศิลปะผ้าทอ) นางประนอมได้รับการถ่ายทอดความรู้จากนางยวง อุปถัมภ์ ผู้เป็นป้า ซึ่งเป็นช่างทอผ้าที่เชี่ยวชาญ เธอได้สืบทอดและพัฒนาลวดลายจากรูปแบบดั้งเดิมให้มีความหลากหลายและสวยงามยิ่งขึ้น นางประนอมยังเป็นนักอนุรักษ์ที่ดูแลการทอผ้าตั้งแต่การปลูกฝ้าย ปลูกคราม ย้อมสีธรรมชาติ ไปจนถึงการออกแบบตัดเย็บ เธอได้สร้างรายได้และกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชนอย่างยั่งยืน ทำให้ผ้าตีนจกเมืองลองยังคงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่ามาจนถึงปัจจุบัน รูปภาพและแหล่งข้อมูลกรมส่งเสริมวัฒนธรรม […]

” เวียงท่ากาน ” มรดกแห่งแคว้นหริภุญชัย

เวียงท่ากาน ไม่เพียงเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงความรุ่งเรืองในอดีตของแคว้นหริภุญชัยซึ่งมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของภูมิภาคล้านนา ลักษณะเด่นของเวียงท่ากานคือรูปแบบการก่อสร้างที่สะท้อนศิลปะหริภุญชัยผสมผสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่นที่สืบทอดต่อกันมา การขุดค้นพบโบราณวัตถุในบริเวณนี้ยังช่วยยืนยันความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างแคว้นหริภุญชัยกับอาณาจักรจีนและดินแดนใกล้เคียงในสมัยโบราณ จุดเด่นของเวียงท่ากาน สิ่งที่นักท่องเที่ยวควรทราบ กิจกรรมเพิ่มเติม รูปภาพและแหล่งข้อมูล Thailandtourism https://thailandtourismdirectory.go.th/attraction/4579Cbt Thailand https://cbtthailand.dasta.or.th/webapp/relattraction/content/2665/

สถานีรถไฟบ้านปินกับความเป็นบาวาเรียนสไตล์

สถานีรถไฟบ้านปิน เป็นอาคารที่มีลักษณะโดดเด่นและแตกต่างจากสถานีรถไฟอื่นๆ ในประเทศไทย สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2457 ในสมัยรัชกาลที่ 6 โดยการรถไฟหลวงแห่งสยาม ภายใต้การควบคุมของพลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุร – ฉัตรไชยการ และนายช่างชาวเยอรมันชื่อ เอมิล ไอเซนโฮเฟอร์ สถานีนี้มีความพิเศษตรงที่ถูกออกแบบในสไตล์ “เฟรมเฮ้าส์แบบบาวาเรียน” (Bavarian Timber Frame House) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่มีต้นกำเนิดจากแคว้นบาวาเรียนของเยอรมนี โดยใช้วัสดุไม้เป็นหลัก การออกแบบผสมผสานระหว่างสไตล์บาวาเรียนและเรือนปั้นหยาแบบไทยในยุคนั้น ทำให้มีความลงตัวและสวยงาม อาคารเป็นสองชั้น มีหลังคาจั่วและปั้นหยา ตัวอาคารทาด้วยสีเหลือง ตัดกับโครงสร้างสีน้ำตาลเข้ม หน้าต่างโค้งและประตูไม้มีลวดลายฉลุที่ละเอียดอ่อน งดงาม และประณีต สถานีรถไฟบ้านปิน ตั้งอยู่ในอำเภอลอง จังหวัดแพร่ เป็นหนึ่งในสถานีรถไฟที่มีความงดงามและเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สุดในประเทศไทย สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2457 ในสมัยรัชกาลที่ 6 โดยการรถไฟหลวงแห่งสยาม ภายใต้การควบคุมของ พลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยการ ซึ่งทรงเป็น “พระบิดาแห่งกิจการรถไฟไทย” และนายช่างชาวเยอรมัน เอมิล ไอเซนโฮเฟอร์ ผู้มีบทบาทสำคัญในการออกแบบสถานีแห่งนี้ ความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม สถานีบ้านปินไม่ได้เป็นเพียงสถานีรถไฟธรรมดา แต่ยังเป็นตัวแทนของ […]

“ประตูสวนปรุงจุดเชื่อมระหว่างชีวิตและภพใหม่”

ประตูสวนปรุง เป็นหนึ่งใน 5 ประตูสำคัญของกำแพงเมืองเชียงใหม่ สร้างขึ้นในสมัยพญามังราย เมื่อครั้งก่อตั้งเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 1839 ประตูนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกำแพงเมืองเก่า มีบทบาทสำคัญในฐานะเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ภายในเมืองกับชนบท โดยเฉพาะทางขึ้นสู่ดอยสุเทพ ที่มาของชื่อ “สวนปรุง” ในปัจจุบัน สันนิษฐานว่ามีความเกี่ยวข้องกับความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ในบริเวณนั้น คำว่า “ปรุง” ในภาษาล้านนา หมายถึงการบำรุงหรือการเสริมสร้าง ชื่อนี้จึงสะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรืองและความสำคัญของพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งเต็มไปด้วยสวนสมุนไพรและพืชพรรณที่ชาวบ้านใช้สำหรับดูแลสุขภาพและการรักษาโรค ในอดีตประตูแสนปรุงไม่ได้เป็นเพียงจุดเชื่อมโยงระหว่างเมืองกับชุมชนรอบนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นเส้นทางสำคัญที่ชาวบ้านใช้ขนส่งสินค้า เช่น ไม้สัก สมุนไพร และผลิตผลจากป่าเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ นอกจากนี้ ประตูแห่งนี้ยังมีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนา เนื่องจากเป็นเส้นทางที่มุ่งสู่วัดพระธาตุดอยสุเทพอันศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนจึงนิยมเดินทางผ่านประตูสวนปรุงเพื่อขึ้นไปกราบไหว้พระธาตุและประกอบพิธีกรรมที่สำคัญในโอกาสต่าง ๆ นอกจากการเป็นเส้นทางค้าขายและการแสวงบุญแล้ว ประตูแสนปรุงยังเกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องความตายในสมัยโบราณ เนื่องจากพื้นที่ทางทิศใต้ของเมืองเชียงใหม่ตามคติความเชื่อของล้านนา ถือเป็นทิศแห่งความตาย (ทิศอัปมงคล) ประตูสวนปรุงจึงเป็นเส้นทางที่ใช้สำหรับการเคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิตออกจากเมือง เพื่อนำไปประกอบพิธีฌาปนกิจหรือฝังศพในบริเวณนอกเมือง เชื่อกันว่าการนำผู้ตายออกทางประตูนี้จะช่วยปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกจากเมืองและรักษาความสงบสุขให้คงอยู่ พื้นที่โดยรอบประตูสวนปรุงในอดีตเคยเป็นสถานที่ปลูกพืชสมุนไพรเพื่อใช้ในพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย รวมถึงใช้สำหรับการรักษาผู้ป่วยหนักในช่วงสุดท้ายของชีวิต สวนสมุนไพรที่เรียกว่า “สวนปรุง” นี้จึงเป็นทั้งที่ดูแลชีวิตและเป็นส่วนหนึ่งของการส่งผู้ล่วงลับไปสู่ภพภูมิใหม่ ปัจจุบันประตูสวนปรุงไม่ได้คงเหลือร่องรอยเดิมไว้ให้เห็นอีกต่อไป โครงสร้างกำแพงและตัวประตูถูกทำลายไปตามกาลเวลา แต่ชื่อของประตูยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้คนและปรากฏอยู่ในชื่อถนนแสนปรุง ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญในบริเวณนั้น แม้ไม่มีตัวประตูที่ชัดเจนหลงเหลืออยู่ แต่เรื่องราวของประตูสวนปรุงยังสะท้อนถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม และความเชื่อของคนล้านนาในอดีต ประตูสวนปรุงจึงไม่ใช่เพียงส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองเชียงใหม่ แต่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงการเชื่อมโยงระหว่างความเจริญรุ่งเรือง […]

“คุ้มเจ้าหลวง” สถาปัตยกรรมงดงามแห่งประวัติศาสตร์เมืองแพร่

คุ้มเจ้าหลวงแห่งเมืองแพร่ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2435 โดย เจ้าพิริยเทพวงษ์ เพื่อเป็นที่ประทับของเจ้าเมือง คุ้มแห่งนี้โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ “ทรงขนมปังขิง” ซึ่งได้รับอิทธิพลจากตะวันตกผสมผสานกับเอกลักษณ์ไทยในยุครัชกาลที่ 5 อาคารโอ่โถงหลังนี้มีประตูและหน้าต่างทั้งหมดถึง 72 บาน ประดับด้วยลวดลายฉลุไม้อย่างประณีตบริเวณปั้นลมและชายคา แสดงถึงความวิจิตรของช่างฝีมือในยุคนั้น แม้ในปี พ.ศ. 2433 จะเกิดภัยแล้งครั้งใหญ่ในเมืองแพร่ แต่ด้วยความมั่งคั่งจากการจัดการทรัพย์สินในสมัยพระยาพิมพิสารราชา (บิดาของเจ้าพิริยเทพวงษ์) ทำให้สามารถสร้างคุ้มหลังนี้ได้อย่างงดงาม คุ้มเจ้าหลวงจึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองของเมืองแพร่ในยุคนั้น จากคุ้มของเจ้าเมืองสู่จุดเปลี่ยนทางการเมืองในปี พ.ศ. 2445 เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในเมืองแพร่ ทำให้เจ้าพิริยเทพวงษ์ต้องลี้ภัยไปยังเมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว และไม่ได้กลับมาอีกจนสิ้นชีพิตักษัย คุ้มเจ้าหลวงจึงตกเป็นสมบัติของสยาม และถูกใช้เป็นที่ตั้งของกองทหารม้าจากกรุงเทพฯ เพื่อรักษาความสงบ ต่อมาในปี พ.ศ. 2454 บริเวณตรงข้ามคุ้มเจ้าหลวงถูกใช้เป็นที่ตั้งของ “โรงเรียนเทพวงษ์” ซึ่งก่อตั้งตามพระบรมราโชบายของรัชกาลที่ 5 เพื่อส่งเสริมการศึกษาในเมืองแพร่ โรงเรียนนี้ได้รับความร่วมมือจากชาวเมืองอย่างดีเยี่ยม และในปี พ.ศ. 2456 ได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า “โรงเรียนพิริยาลัย” เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าพิริยเทพวงษ์ ผู้ก่อตั้งโรงเรียน คุ้มเจ้าหลวงในปัจจุบันหลังจากเป็นจวนผู้ว่าราชการจังหวัดมาหลายสิบปี ในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. […]

“จรัล มโนเพ็ชร” โฟล์คซองคำเมืองที่ไม่เคยเลือนหาย

จรัล มโนเพ็ชร เป็นศิลปินผู้ทรงอิทธิพลต่อวงการดนตรีไทย โดยเฉพาะการนำ “โฟล์คซองคำเมือง” หรือบทเพลงพื้นบ้านล้านนามาประยุกต์ให้ร่วมสมัยและได้รับความนิยมในระดับประเทศ เขาเกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2494 ที่บ้านย่านวัดเกตุ เมืองเชียงใหม่ ในช่วงปี พ.ศ. 2520 จรัลนำดนตรีพื้นเมืองล้านนา ซึ่งดั้งเดิมมักใช้เครื่องดนตรีอย่างซึงหรือสะล้อ มาผสมผสานกับเครื่องดนตรีสมัยใหม่ เช่น กีตาร์และแมนโดลิน ทำให้เกิดเสียงดนตรีที่แปลกใหม่และเป็นเอกลักษณ์ เสียงเพลงของจรัลไม่เพียงแค่ไพเราะ แต่ยังสื่อสารถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรมและปัญหาสังคมของชาวล้านนาได้อย่างลึกซึ้ง บทเพลงดังที่สร้างชื่อเสียง ได้แก่ อุ๊ยคำ สาวมอเตอร์ไซค์และคนสึ่งตึง เนื้อเพลงส่วนใหญ่มีความเรียบง่ายแต่กินใจ เล่าเรื่องราวของชีวิตผู้คน ทั้งความสุข ความทุกข์ และความเป็นภาคเหนือ ความสามารถรอบด้านของจรัลส่งผลให้ได้รับรางวัลดนตรี สีสันอวอร์ด ในปี พ.ศ. 2538 โดยคว้าถึงสามรางวัลในปีเดียว ได้แก่ ศิลปินชายเดี่ยวยอดเยี่ยม เพลงยอดเยี่ยม และอัลบั้มยอดเยี่ยมจากผลงาน ศิลปินป่า ในปี พ.ศ. 2539 จรัลยังได้รับเชิญให้เป็นตัวแทนครูเพลงภาคเหนือในงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษก เขาแต่งเพลง ฮ่มฟ้าปารมี เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสนี้ บทเพลงดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างมากและถูกนำไปใช้ในการเรียนการสอนในวิชานาฏศิลป์ บทส่งท้ายชีวิตศิลปินแห่งล้านนา จรัล […]

เจดีย์กิ่วสัญลักษณ์ ตำนานและการเสียสละริมฝั่งแม่ปิง

ลักษณะของเจดีย์กิ่วเจดีย์กิ่วตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิง บริเวณสามแยกถนนวิชยานนท์และถนนวังสิงห์คำใกล้ที่ทำการเทศบาลนครเชียงใหม่ ลักษณะของเจดีย์คล้ายกรวยสามเหลี่ยมทรงกลม ฐานกว้างประมาณ 6 เมตร และสูงประมาณ 8 เมตร องค์เจดีย์โบกปูนเรียบ ไม่มีลวดลายหรือการตกแต่งใด ๆ และถูกทาสีขาว ส่วนยอดเจดีย์มีลักษณะหักเข้าและประดับด้วยองค์ประกอบทั่วไปของเจดีย์แบบล้านนา ตำนานการเสียสละของลุงเพียงเจดีย์กิ่วเกี่ยวข้องกับเรื่องเล่าขานถึงการเสียสละของ “ลุงเพียง” หรือ “ลุงเปียง” ชายชาวเชียงใหม่ผู้พลีชีพเพื่อปกป้องบ้านเมือง ในครั้งนั้นกษัตริย์พม่าได้ยกทัพมาล้อมเมืองเชียงใหม่และเสนอการแข่งขันดำน้ำเป็นเดิมพัน โดยหากฝ่ายใดชนะอีกฝ่ายจะต้องถอนทัพกลับไป ลุงเพียงอาสาเป็นตัวแทนของชาวเชียงใหม่แข่งขันกับนักประดาน้ำจากพม่าทั้งสองฝ่ายลงดำน้ำพร้อมกันแต่เวลาผ่านไปนานชาวพม่าก็โผล่ขึ้นมาก่อน ขณะที่ลุงเพียงกลับไม่ขึ้นจากน้ำ หลังชัยชนะเป็นที่แน่ชัดผู้คนจึงลงไปตามหาลุงเพียง พบว่าลุงเพียงได้เสียชีวิตในน้ำเพราะผูกตัวเองไว้กับเสาเพื่อให้มั่นใจว่าฝ่ายเชียงใหม่จะได้รับชัยชนะ เจ้าเมืองเชียงใหม่จึงสร้างเจดีย์กิ่วขึ้นริมแม่น้ำปิงเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ความเสียสละของลุงเพียง ข้อสันนิษฐานอื่นเกี่ยวกับเจดีย์กิ่วแม้ตำนานของลุงเพียงจะเป็นเรื่องเล่าที่คนเชียงใหม่รู้จักกันดีแต่เจดีย์กิ่วก็ยังมีข้อสันนิษฐานอื่นเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา เช่น 1. เจดีย์กิ่วอาจเป็นสถูปบรรจุอัฐิของบุคคลสำคัญชาวพม่าสมัยที่พม่าปกครองเชียงใหม่ระหว่างปี พ.ศ. 2101 – 2317 2. เจดีย์กิ่วอาจเป็นเครื่องหมายของปากอุโมงค์ที่ทอดยาวมาจากเจดีย์หลวงในตัวเมือง คุ้มท่าเจดีย์กิ่วใกล้เจดีย์กิ่ว เคยมีคุ้มของเจ้าเมืองเชียงใหม่ เรียกว่า “คุ้มท่าเจดีย์กิ่ว” ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวถูกใช้เป็นที่ตั้งของสถานกงสุลสหรัฐอเมริกาประจำจังหวัดเชียงใหม่ รูปภาพและแหล่งข้อมูลศูนย์สนเทศภาคเหนือ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ https://lannainfo.library.cmu.ac.th/picturelanna/comparepic.php?picture_id=1651Museum Thailand https://www.museumthailand.com/th/3072/storytelling/เจดีย์ขาว/

ลมหนาวและสาวงาม ย้อนวันวานงานฤดูหนาวเชียงใหม่

งานฤดูหนาวเชียงใหม่ เป็นเทศกาลรื่นเริงประจำปีที่จัดขึ้นในช่วงปลายเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนมกราคม ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่เชียงใหม่มีอากาศเย็นสบาย ธรรมชาติสวยงามและพืชผักผลไม้เมืองหนาว จุดเริ่มต้นของงานฤดูหนาวงานฤดูหนาวมีต้นกำเนิดมาจาก “งานแสดงพืชผล” ในปี พ.ศ. 2474 ซึ่งจัดโดยโรงเรียนฝึกหัดครูช้างเผือก (ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่) เพื่อแสดงผลผลิตของนักเรียน ต่อมางานนี้ถูกปรับเปลี่ยนและฟื้นฟูโดยพระยาอนุบาลพายัพกิจ (ปุ่น อาสนจินดา) จนกลายเป็นงานฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ โดยมีเป้าหมาย 3 ประการ ได้แก่ 1.หาเงินสนับสนุนด้านการศึกษา 2.สนับสนุนงานสาธารณสุข โดยเฉพาะการช่วยเหลือเด็กกำพร้า 3.ส่งเสริมการเพาะปลูกและปศุสัตว์ ในปี พ.ศ. 2480 ค่าเข้าชมงานเพียง 10 สตางค์ แต่สามารถดึงดูดผู้เข้าร่วมงานได้ถึง 80,000 คน และสร้างรายได้ประมาณ 8,000 บาท ความเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของงานในช่วงแรกงานฤดูหนาวมีสถานที่จัดงานที่เปลี่ยนแปลงหลายครั้ง เช่น พ.ศ. 2491 จัดที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัยพ.ศ. 2497 ย้ายไปจัดที่สนามกีฬาเทศบาล ภายในงานมีความหลากหลายมากขึ้น มีการออกร้านของหน่วยงานราชการ ร้านค้าเอกชน และร้านจากต่างประเทศ เช่น ร้านกาชาดเชียงใหม่ การแสดงผลิตภัณฑ์ของกระทรวงเศรษฐการ การสาธิตการบิน และกิจกรรมจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เวทีสาวงามแม่เหล็กดึงดูดแห่งงานฤดูหนาวเมื่อพูดถึงงานฤดูหนาวเชียงใหม่ในอดีต สิ่งหนึ่งที่ดึงดูดผู้คนให้มาร่วมงานอย่างคับคั่งคือเวทีประกวดสาวงาม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของงาน […]

“เจดีย์น้ำเต้าคว่ำ 5 ชั้น” แห่งวัดกู่เต้า เชียงใหม่

เจดีย์กู่เต้า ซึ่งตั้งอยู่ภายในวัดกู่เต้า ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมืองเชียงใหม่ ไม่เพียงเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามและแปลกตา แต่ยังแฝงไว้ด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์และตำนานที่น่าสนใจ ตำนานเล่าว่าในช่วงที่กองทัพพม่ายกทัพมาตีเชียงใหม่ แต่ไม่สามารถยึดเมืองได้ทั้งสองฝ่ายจึงท้าพนันกันด้วยการสร้างเจดีย์ หากฝ่ายใดสร้างเสร็จก่อนจะถือเป็นผู้ชนะฝ่ายพม่าสร้างเจดีย์กู่เต้า ส่วนฝ่ายเชียงใหม่สร้างเจดีย์ใหญ่กลางใจเมืองหรือที่ปัจจุบันคือเจดีย์วัดเจดีย์หลวง แต่ในขณะที่ฝ่ายพม่าสร้างเจดีย์ได้มากกว่าครึ่งองค์ ฝ่ายเชียงใหม่ยังทำได้เพียงฐานเจดีย์ ด้วยความฉลาดและกลยุทธ์ที่แยบยล ชาวเชียงใหม่จึงคิดอุบายขึ้นโดยนำเสื่อลำแพนมาสานแล้วทาสีดินแดงให้ดูเหมือนอิฐ จากนั้นสร้างโครงไม้ไผ่เป็นรูปทรงเจดีย์สูงและนำเสื่อลำแพนมัดไว้จนถึงยอดเมื่อมองจากระยะไกล เจดีย์ปลอมนี้ดูคล้ายว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว ฝ่ายพม่าเมื่อเห็นดังนั้นจึงเข้าใจว่าตนแพ้การเดิมพันจึงตัดสินใจยกทัพกลับไป ทำให้เจดีย์ทั้งสองยังคงเป็นอนุสรณ์ของเหตุการณ์ในครั้งนี้ นอกจากตำนานข้างต้น ความเป็นมาวัดกู่เต้าหรือวัดเวฬุวนารามแม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าถูกสร้างขึ้นในยุคใด แต่ตำนานเล่าขานทำให้เรารู้ว่าวัดแห่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ช่วงที่พม่าปกครองอาณาจักรล้านนา รวมถึงเมืองเชียงใหม่ด้วย จุดเด่นของวัดคือเจดีย์ทรงกลมที่เรียงซ้อนกันคล้ายผลน้ำเต้าคว่ำ หรือแตงโมซ้อนกันหลายชั้น ลักษณะพิเศษนี้ทำให้ชาวบ้านเรียกชื่อวัดว่า “วัดกู่เต้า” โดยคำว่า “กู่” หมายถึงที่บรรจุอัฐิ ส่วนคำว่า “เต้า” หมายถึงน้ำเต้าหรือแตงโม ชุมชนบ้านกู่เต้ามีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ โดยเฉพาะชาวพื้นเมืองล้านนาและชาวพม่าที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณนี้ แต่ในเวลาต่อมาชาวพม่าที่อาศัยในพื้นที่ถูกกลืนกลายทางวัฒนธรรมและสัญชาติ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชาวไทยภาคเหนือทั้งหมดหรือที่เรียกว่าชาวไทใหญ่ ปัจจุบันวัดกู่เต้ายังคงเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้าน โดยเฉพาะชาวไทยใหญ่ที่มักมาทำบุญและร่วมกิจกรรมทางศาสนา รูปภาพและแหล่งข้อมูล : amazing Thailand https://thai.tourismthailand.org/Attraction/วัดกู่เต้าตนล้านนา https://konlanna.com/contents/read/705 รูปภาพล้านนาในอดีต https://lannainfo.library.cmu.ac.th/picturelanna/comparepic.php?picture_id=1305

1 2 3 4 5