กู่ช้าง กู่ม้า โบราณสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งลำพูน

กู่ช้างเป็นปูชนียสถานสำคัญของเมืองลำพูนและเป็นสถานที่ที่ชาวเมืองให้ความเคารพนับถืออย่างสูง ตามประวัติความเป็นมา กู่ช้างเป็นที่บรรจุซากของช้างทรงชื่อ “ผู้กล่ำงาเขียว” ช้างคู่พระบารมีของพระเจ้ามหันตยศและพระเจ้าอนันตยศ พระราชโอรสฝาแฝดของพระนางจามเทวีปฐมกษัตริย์แห่งนครหริภุญไชย ตำนานช้างผู้กล่ำงาเขียวช้างผู้กล่ำงาเขียวได้รับการกล่าวขานว่าเป็นช้างที่มีฤทธิ์เดชมหาศาล เมื่อช้างเชือกนี้หันหน้าไปทางศัตรู ศัตรูจะอ่อนแรงลงทันทีด้วยคุณสมบัติพิเศษนี้ทำให้ช้างเชือกนี้กลายเป็นช้างทรงที่สำคัญในยุคนั้น เมื่อช้างล้มลงได้มีการสร้างสถูปขึ้นเพื่อบรรจุซากของช้าง โดยหันหัวช้างและงาช้างชี้ขึ้นไปบนอากาศ ตามตำนานเล่าว่าหากนำซากช้างไปฝังแล้วหันหัวหรือหันงาช้างไปทางทิศใดจะทำให้เกิดความแห้งแล้งและความหายนะ ด้วยเหตุนี้ งาช้างจึงยังคงอยู่กับซากของช้างในกู่ช้าง ไม่ได้ถูกนำไปบรรจุในเจดีย์สุวรรณจังโกฏที่วัดจามเทวีอย่างที่เคยมีการกล่าวถึง กู่ช้างและกู่ม้ากู่ช้างตั้งอยู่ใกล้กับกู่ม้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสถูปสำคัญในบริเวณเดียวกัน กู่ม้ามีลักษณะเป็นสถูปทรงกระบอก ปลายมน ด้านบนขององค์สถูปมีแท่นคล้ายบัลลังก์ ลักษณะคล้ายเจดีย์ในรูปแบบทั่วไป ความศักดิ์สิทธิ์และความเชื่อกู่ช้างเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวลำพูนเชื่อว่ามีพลังปกปักษ์รักษาและคุ้มครองผู้ที่เคารพบูชา ในอดีตได้มีการสร้างศาลเจ้าพ่อกู่ช้างขึ้นใกล้กับองค์สถูปแต่ภายหลังกรมศิลปากรได้เข้ามาบูรณะสถูป และย้ายศาลออกไปห่างจากกู่ช้างเล็กน้อย เพื่อรักษาความสมบูรณ์ขององค์สถูป กู่ช้างและกู่ม้าไม่เพียงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าแต่ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวลำพูน และเป็นสถานที่สำคัญที่บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์อันรุ่งเรืองของนครหริภุญไชยในอดีต รูปภาพและแหล่งที่มา เทศบาลเมืองลำพูน https://lamphuncity.go.th/travel/โบราณสถานกู่ช้าง-กู่ม้า/เว็บไซต์จังหวัดลำพูน https://www.lamphun.go.th/th/attractions/11/กู่ช้างกู่ม้า

เครื่องสักการะล้านนา 5 ประการ สะท้อนศรัทธาและภูมิปัญญาล้านนา

ในวิถีชีวิตของชาวล้านนา การจัดพิธีกรรมเพื่อบูชาทางศาสนาหรือเพื่อเคารพผู้มียศศักดิ์ เช่น ครู อาจารย์ หรือผู้อาวุโส ถือเป็นการแสดงถึงความเคารพและขอบคุณต่อผู้ที่มีคุณูปการต่อชุมชนและสังคม ซึ่งพิธีกรรมเหล่านี้มักจะมีการใช้เครื่องสักการะที่มีความหมายลึกซึ้งและสะท้อนถึงความเชื่อและค่านิยมของชาวล้านนา เครื่องสักการะที่นิยมใช้ในการบูชาประกอบด้วย 5 ประการ ได้แก่ หมากสุ่ม หมากเบ็ง ต้นผึ้ง ต้นเทียน และต้นดอก ซึ่งแต่ละชนิดไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังเต็มไปด้วยความหมายที่สะท้อนถึงความเชื่อในความสามัคคี ความเคารพ และการมอบสิ่งดี ๆ ให้แก่ผู้อื่น หมากสุ่ม เป็นเครื่องสักการะที่ทำจากหมากแห้งซึ่งถูกผ่าเป็นซีกแล้วร้อยเรียงกับโครงไม้ไผ่หรือหยวกกล้วยให้เป็นพุ่มใหญ่ หมากสุ่มมีความหมายที่ลึกซึ้งถึงการให้ทานแก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว การบูชาด้วยหมากสุ่มเชื่อกันว่าจะช่วยส่งเสริมให้ผู้บูชามีชีวิตที่ดีและมีความเจริญรุ่งเรือง เหมือนกับการให้ทานแก่ผู้ที่เคยช่วยเหลือและดูแลเรามา หมากเบ็ง ใช้ใบตาลหรือใบมะพร้าวมาสานเป็นดอกไม้ แล้ววางหมากสุกหรือหมากดิบจำนวน 24 ลูกไว้ตรงกลางและผูกติดกับโครงไม้หรือโครงเหล็กที่ทำเป็นพุ่ม ความหมายของหมากเบ็งคือการแสดงถึงความสามัคคีและความร่วมมือของคนในชุมชน การผูกหมากกับโครงไม้หรือเหล็กแสดงถึงความตั้งใจในการร่วมแรงร่วมใจ ซึ่งเป็นค่านิยมสำคัญในสังคมล้านนาที่เน้นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ต้นผึ้ง เครื่องสักการะนี้ทำจากขี้ผึ้งที่ถูกปั้นเป็นรูปดอกไม้ แล้วนำไปเสียบกับก้านมะพร้าวและปักลงบนต้นกล้วยในรูปทรงพุ่ม ต้นผึ้งสื่อถึงการให้แสงสว่างทางปัญญา เชื่อกันว่าขี้ผึ้งที่มีความบริสุทธิ์จะช่วยเสริมสร้างสติปัญญาและนำทางให้ผู้บูชาได้พบกับทางที่ถูกต้องในชีวิต การถวายต้นผึ้งในพิธีกรรมจึงเป็นการอธิษฐานขอให้ชีวิตได้รับแสงสว่างจากความรู้และปัญญา ต้นเทียน ใช้เทียนที่ทำจากขี้ผึ้งมาผูกติดกับทางไม้มะพร้าวแล้วปักลงในต้นกล้วยเพื่อให้เป็นทรงพุ่ม การถวายต้นเทียนมีความหมายในการมอบแสงสว่างในการศึกษาและการทำกิจกรรมทางศาสนา โดยเฉพาะในช่วงเข้าพรรษา ซึ่งการถวายเทียนให้พระภิกษุสงฆ์ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงถึงการเคารพพระสงฆ์ แต่ยังเป็นการแสดงถึงความหวังว่าพระสงฆ์จะใช้แสงสว่างเหล่านั้นในการท่องหนังสือและเผยแพร่คำสอนเพื่อประโยชน์แก่สังคม ต้นดอก หรือ ขันดอก เป็นเครื่องสักการะที่มีลักษณะเป็นภาชนะทรงสูง ภายในใส่โครงไม้ไผ่แล้วนำดอกไม้ที่ทำจากกระดาษสีเงินและสีทองมาประดับกันให้สวยงามจนเป็นพุ่มกลม ขันดอกมีความหมายถึงการสักการะพระพรหมทั้งสี่ เพื่อขอให้การทำพิธีกรรมสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี […]

“เวียงกุมกาม” จากความรุ่งเรืองสู่การค้นพบใหม่

เวียงกุมกาม เป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศใต้เพียง 5 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ราว 3 ตารางกิโลเมตร ในเขตตำบลท่าวังตาล ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี และตำบลป่าแดด อำเภอเมืองเชียงใหม่ เมืองนี้เคยเป็นราชธานีแห่งแรกของอาณาจักรล้านนาและแม้ว่าจะเคยจมหายไปใต้ตะกอนทรายของแม่น้ำปิงมาเป็นเวลานาน แต่ในปัจจุบันเวียงกุมกามกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง เวียงกุมกามเริ่มเป็นที่รู้จักในปี พ.ศ. 2527 เมื่อกรมศิลปากรเริ่มขุดค้นทางโบราณคดีที่วัดกานโถม (หรือที่รู้จักกันในชื่อวัดช้างค้ำ) และพบพระพิมพ์ดินเผาที่มีลักษณะเฉพาะของช่างหริภุญไชยจากลำพูน การค้นพบนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาเกี่ยวกับเมืองโบราณแห่งนี้ ต่อมาการขุดค้นยังคงดำเนินต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2546 พบประติมากรรมมกรคายมังกรที่วัดกู่ป้าด้อมและเครื่องถ้วยจีนโบราณที่จมอยู่ในชั้นดินที่วัดหนานช้างเหล่านี้เป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยให้เราทราบถึงความรุ่งเรือง ในอดีตเวียงกุมกามเคยเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของอาณาจักรล้านนา ก่อตั้งขึ้นโดยพญาเม็งรายในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 18 เมืองนี้ได้รับการออกแบบอย่างสวยงาม มีวัดและโบราณสถานสำคัญหลายแห่ง เช่น วัดเจดีย์เหลี่ยม และวัดช้างค้ำ รวมถึงวัดอื่น ๆ กว่า 20 แห่ง โดยเมืองนี้มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมล้านนาในสมัยนั้น อย่างไรก็ตามด้วยปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในพื้นที่ ทำให้เวียงกุมกามถูกทิ้งร้างและจมหายไปใต้ตะกอนทรายของแม่น้ำปิง จนกระทั่งถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2527 และได้รับการขุดค้นจากนักโบราณคดี ปัจจุบันเวียงกุมกามกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับอารยธรรมล้านนา นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมโบราณสถานต่าง ๆ เช่น กำแพงเมืองและซากเจดีย์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ซึ่งบ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของเมืองในอดีต ศิลปะและสถาปัตยกรรมที่พบในเมืองโบราณนี้ยังคงสะท้อนถึงความงดงามและความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมล้านนา ที่มา […]

“คลองแม่ข่า” จากเส้นทางน้ำโบราณสู่แลนด์มาร์กใหม่เชียงใหม่

คลองแม่ข่า หรือ แม่น้ำข่า เป็นเส้นทางน้ำสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเชียงใหม่ มีความยาวประมาณ 30 กิโลเมตร เกิดจากสายน้ำบนดอยสุเทพ เช่น น้ำแม่สา ห้วยชะเยือง และห้วยแก้ว ไหลรวมกันกลายเป็นคลองที่โอบล้อมตัวเมืองเชียงใหม่ มีบทบาทสำคัญในยุคพญามังรายที่เลือกพื้นที่นี้สร้างเมืองเมื่อกว่า 700 ปีก่อน คลองแม่ข่าทำหน้าที่เป็นคูเวียงชั้นนอกสำหรับป้องกันน้ำท่วมและรักษาเมือง สะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาด้านการจัดการน้ำของคนล้านนาในอดีต อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเมืองเชียงใหม่ ในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของภาคเหนือ ทำให้เกิดการบุกรุกพื้นที่ริมคลองและการทิ้งน้ำเสียโดยไร้การบำบัด ส่งผลให้คลองแม่ข่าเน่าเสียและทรุดโทรม กลายเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน ต่อมาในปี 2560 มีการฟื้นฟูคลองแม่ข่าครั้งใหญ่ ด้วยงบประมาณกว่า 50 ล้านบาท เพื่อขุดลอกคลอง ติดตั้งเครื่องเติมอากาศ และปรับปรุงภูมิทัศน์ ปัจจุบันคลองแม่ข่าได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ที่เปี่ยมเสน่ห์ โดยจำลองบรรยากาศคล้ายคลองโอตารุของญี่ปุ่น สองฝั่งคลองถูกปรับให้เป็นพื้นที่เดินเล่นและพักผ่อนมีแสงไฟประดับในยามค่ำคืน กลายเป็นจุดท่องเที่ยวใหม่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ทั้งยังเป็นตัวอย่างความสำเร็จของการฟื้นฟูพื้นที่ประวัติศาสตร์ให้กลับมามีคุณค่าอีกครั้ง ด้วยความร่วมมือจากชุมชน ภาครัฐ และเอกชน เชียงใหม่ได้แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ที่มา : กรมศิลปากร https://www.finearts.go.th/chiangmaiarchives/view/37681-%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2

“ต้นกำเนิดการศึกษา โรงเรียนรัฐบาลแห่งแรกของเชียงใหม่”

ในยุคสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) พระองค์ทรงมีพระบรมราโชบายสำคัญในการขยายการศึกษาให้กับพสกนิกรชาวไทย โดยเฉพาะการเรียนรู้วิชาหนังสือไทยเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่าน เขียน และคิดเลข ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการดำรงชีวิต นอกจากนี้ยังเป็นการยกระดับความรู้และความสามารถของประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร ในปี พ.ศ. 2432 พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าโสณบัณฑิตย์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งข้าหลวงพิเศษ ได้รับพระบรมราชโองการให้ขึ้นมาจัดการป้องกันพระราชอาณาเขตทางชายแดนของเมืองเชียงใหม่ พร้อมกับการริเริ่มการจัดตั้งโรงเรียนหลวงแห่งแรกในเมืองเชียงใหม่ โดยใช้สถานที่ที่เป็นศาลากลางสวนริมแม่น้ำปิงฝั่งตะวันตก ซึ่งในวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2432 โรงเรียนแห่งนี้ได้เริ่มต้นขึ้นภายใต้ชื่อ “โรงเรียนเมืองนครเชียงใหม่” เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่ได้มีโอกาสศึกษาวิชาหนังสือไทย การริเริ่มก่อตั้งโรงเรียนแห่งนี้เป็นการสนองพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการขยายการศึกษาให้ครอบคลุมทั่วทั้งราชอาณาจักร โดยต่อมาในปี พ.ศ. 2441 พระองค์ได้ออก “ประกาศจัดการเล่าเรียนในหัวเมือง” เพื่อขยายการศึกษาหนังสือไทยให้แก่หัวเมืองต่างๆ พร้อมกันกับการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในการบริหารราชการ เมื่อปี พ.ศ. 2442 โรงเรียนหลวงแห่งนี้ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนวัดพระเจดีย์หลวง” ก่อนที่จะได้รับการปรับเปลี่ยนเป็นชื่อ “โรงเรียนพระเจดีย์หลวงนครเชียงใหม่” และในปี พ.ศ. 2449 ได้มีการเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น “โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย” ตามพระราชทานนามของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฏราชกุมาร เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินประพาสหัวเมืองมณฑลพายั โรงเรียนยุพราชวิทยาลัยถือเป็นโรงเรียนรัฐบาลแห่งแรกในจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการศึกษาภายในพื้นที่ภาคเหนือ และเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นของการศึกษาทางการในล้านนามาจนถึงปัจจุบัน โรงเรียนแห่งนี้ยังคงเป็นแหล่งผลิตบุคลากรสำคัญให้กับสังคมไทย […]

“ต้นยางนา” เอกลักษณ์บนถนนสายเชียงใหม่-ลำพูน

ถนนสายเชียงใหม่-ลำพูน หรือที่รู้จักกันในชื่อถนนหมายเลข 106 โดดเด่นด้วยต้นยางนาเรียงรายสองฝั่งทาง ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ทรงคุณค่ามาอย่างยาวนาน ต้นยางนาบนถนนสายนี้เริ่มปลูกครั้งแรกในปี พ.ศ. 2425 โดยมหาอำมาตย์โท เจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐ์ศักดิ์ (เชย กัลยาณมิตร) ข้าหลวงใหญ่มณฑลพายัพ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างความร่มรื่นและเสริมความสวยงามให้กับเส้นทางสำคัญที่เชื่อมระหว่างจังหวัดเชียงใหม่และลำพูน ต่อมาในปี พ.ศ. 2454 รัฐบาลได้ขยายการปลูกเพิ่มเติม โดยต้นยางนาถูกปลูกตลอดแนวในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนจังหวัดลำพูนมีการปลูกต้นขี้เหล็กควบคู่กัน การเปลี่ยนแปลงของถนนสายต้นยางนานี้สะท้อนถึงพัฒนาการของเมืองและบทบาทที่เปลี่ยนไปของเส้นทางคมนาคมสายนี้ ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษต้นยางนาถูกดูแลโดยทั้งภาครัฐและชุมชน แต่ก็เผชิญกับปัญหาสำคัญ เช่น การหักโค่นของต้นไม้ที่สร้างความเสียหายและความเสี่ยงต่อผู้ใช้เส้นทาง ความสำคัญของต้นยางนาบนถนนสายนี้ได้รับการยกระดับขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2550 เมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระราชเสาวนีย์เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการอนุรักษ์ต้นยางนา ซึ่งในขณะนั้นมีสภาพทรุดโทรมหลายต้น จากนั้นมีโครงการสำคัญ เช่น การปลูกต้นยางนาเฉลิมพระเกียรติในโอกาสครบรอบ 84 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองเก่าเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2556-2559 การอนุรักษ์ต้นยางนาได้รับแรงสนับสนุน เมื่อกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประกาศให้พื้นที่สองฝั่งถนนเชียงใหม่-ลำพูนเป็นเขตคุ้มครองสิ่งแวดล้อม เพื่อรักษาคุณภาพชีวิตของชุมชนและมรดกทางธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ต้นยางนาเหล่านี้ยังคงเผชิญความท้าทายจากการพัฒนาเมืองและสภาพอากาศ แม้ว่าความพยายามในการฟื้นฟูและอนุรักษ์จะดำเนินต่อเนื่องมา แต่การจัดการยังขาดความสม่ำเสมอและบูรณาการจากทุกภาคส่วน ส่งผลให้บางส่วนของประชาชนเกิดความไม่มั่นใจต่อแนวทางการแก้ไขปัญหา ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผู้ต้องการความปลอดภัยจากการใช้ถนนกับกลุ่มที่ต้องการรักษาเอกลักษณ์ทางธรรมชาติ ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องได้รับการแก้ไข ปัจจุบันต้นยางนาบนถนนสายเชียงใหม่ – ลำพูนยังคงเป็นมรดกสำคัญที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์และเอกลักษณ์ของท้องถิ่น หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ต้นไม้เหล่านี้จะสามารถเป็นทั้งสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่สร้างประโยชน์ต่อชุมชนได้อย่างยั่งยืนในอนาคต […]

ความงามแห่งพระธาตุปีฉลู พระธาตุลำปางหลวง

วัดพระธาตุลำปางหลวงตั้งอยู่ในตำบลลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ห่างจากตัวเมืองลำปางไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 18 กิโลเมตร วัดแห่งนี้เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองลำปางที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและงดงามด้วยสถาปัตยกรรมล้านนาแบบดั้งเดิม วัดพระธาตุลำปางหลวงเป็นวัดโบราณที่มีความสำคัญทั้งด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่บนเนินดินสูง ล้อมรอบด้วยกำแพงและคูน้ำ สถานที่แห่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับตำนานทางศาสนาและบุคคลสำคัญในอดีต ตามตำนานพระธาตุลำปางหลวงเกี่ยวข้องกับ “มหาราชเทวี” ซึ่งเป็นพระราชชนนีของพระยาสามฝั่งแกน พระนางได้เสด็จมายังเมืองลัมภกัปปนคร (ปัจจุบันคือบริเวณลำปาง) และได้เห็นพระธาตุแสดงปาฏิหาริย์ จึงเสด็จไปนมัสการ ต่อมา หมื่นหาญแต่ท้อง ซึ่งเป็นญาติของพระเจ้าติโลกราช ได้ขออนุญาตจากพระองค์สร้างวัดแห่งนี้ขึ้น หลักฐานทางประวัติศาสตร์ เช่น จารึกและเอกสารโบราณ ระบุว่าวัดนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าติโลกราช เหตุการณ์สำคัญในอดีตในทางประวัติศาสตร์ วัดพระธาตุลำปางหลวงยังมีบทบาทสำคัญในช่วงปี พ.ศ. 2275 เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่หนานทิพย์ช้าง วีรบุรุษชาวลำปาง ได้รวบรวมพลต่อสู้กับท้าวมหายศ ผู้ครองนครลำพูนในขณะนั้น โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นภายในวัดและร่องรอยกระสุนปืนยังคงปรากฏอยู่บนรั้วทองเหลืองรอบองค์พระธาตุเจดีย์จนถึงปัจจุบัน จุดเด่นของวัดพระธาตุลำปางหลวงพระธาตุลำปางหลวงตั้งอยู่ภายในเขตพุทธาวาส บริเวณลานทรายที่ล้อมรอบด้วยวิหารและระเบียงคด ซึ่งแสดงถึงแนวคิดจักรวาลของล้านนา โดยมีพระธาตุเป็นศูนย์กลาง รูปทรงของเจดีย์เป็นทรงระฆัง หุ้มด้วยแผ่นโลหะทั้งองค์ ลักษณะของพระธาตุมีความงดงามและเป็นเอกลักษณ์ เจดีย์มีฐานบัวย่อเก็จ ต่อด้วยชั้นมาลัยเถาบัวถลาเรียงซ้อนกัน 3 ชั้น ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศิลปะสุโขทัยที่เผยแพร่ขึ้นมายังล้านนาในสมัยพระสุมนเถระ ฐานบัวปากระฆังประดับด้วยลายกลีบบัวมีเกสร ถัดขึ้นไปเป็นองค์ระฆังที่ประดับลวดลายอย่างวิจิตร ด้านบนเป็นบัลลังก์ บัวฝาละมี และยอดฉัตรที่มีความงดงามตามแบบล้านนา การเยี่ยมชมและนมัสการผู้ที่สนใจสามารถเดินทางมายังวัดพระธาตุลำปางหลวง เพื่อชื่นชมและสักการะพระแก้วดอนเต้าได้ทุกวัน เวลา […]

ความทรงจำแห่งแม่น้ำปิง จากขัวไม้สักสู่สะพานนวรัฐ

สะพานนวรัฐ สะพานข้ามแม่น้ำปิงแห่งที่ 2 ของเมืองเชียงใหม่ มีประวัติยาวนานและน่าสนใจ สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ โดยเป็นสะพานไม้สักทั้งหลัง มีลักษณะเป็นสะพานแบบคานยื่น โครงด้านบนโค้งครึ่งวงกลมจำนวน 5 ช่วง สร้างบน 6 ตอม่อ สะพานเชื่อมระหว่างถนนเจริญเมืองทางฝั่งตะวันออกกับย่านท่าแพทางฝั่งตะวันตก ซึ่งถนนท่าแพถือเป็นถนนเศรษฐกิจสำคัญในยุคนั้น อย่างไรก็ตามสะพานไม้สักนี้ต้องเผชิญปัญหาไฟไหม้และความเสียหายจากน้ำหลากที่พัดเอาท่อนไม้ซุงมากระแทกจนพังบางส่วน เมื่อเวลาผ่านไปสะพานเริ่มไม่เหมาะสมกับการใช้งานในยุคที่การขนส่งเริ่มเปลี่ยนไปตามการพัฒนาของเมือง จากขัวไม้สักเป็น “ขัวเหล็ก” หลังจากการสร้างเส้นทางรถไฟมาถึงเชียงใหม่ ทางราชการจึงรื้อสะพานไม้สักในปี พ.ศ. 2464 และสร้างสะพานใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม โดยใช้โครงสร้างเหล็กบนตอม่อคอนกรีตเสริมเหล็ก สะพานใหม่มีลักษณะโครงเหล็กทั้งหมด 5 ช่วง เปิดใช้งานในปี พ.ศ. 2466 พร้อมตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า “สะพานนวรัฐ” เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ในเวลานั้น ชาวบ้านยังคงเรียกสะพานนี้ว่า “ขัวเหล็ก” หรือ “ขัวดำ” ตามลักษณะของโครงสร้างเหล็กสีดำ ซึ่งกลายเป็นสะพานสำคัญที่ใช้เชื่อมสองฝั่งของแม่น้ำปิง สะพานนวรัฐในยุคปัจจุบัน เมื่อเชียงใหม่เจริญขึ้น การจราจรเริ่มคับคั่ง สะพานนวรัฐแบบโครงเหล็กเริ่มไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ทางราชการจึงตัดสินใจรื้อสะพานเหล็กออกในปี พ.ศ. 2508 และสร้างสะพานใหม่แทน โดยสะพานนวรัฐแห่งใหม่นี้เป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก มีขนาดใหญ่ขึ้นและกว้างขวางกว่าเดิม สะพานนวรัฐแบบปัจจุบันเปิดใช้งานเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม […]

ถนนช้างม่อยศูนย์กลางการค้าและแหล่งพบปะของคนทุกยุค

ถนนช้างม่อยในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นหนึ่งในย่านที่มีความสำคัญทั้งด้านประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจของเชียงใหม่มายาวนาน ย่านนี้เริ่มต้นจากชุมชนเล็ก ๆ ที่เงียบสงบอยู่นอกคูเมือง โดยมีจุดเริ่มต้นจาก “ประตูช้างม่อย” ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง ถนนสายนี้ในอดีตคือถนนช้างม่อยเก่า เป็นเส้นทางดั้งเดิมที่ผ่านวัดหนองหล่มและหมู่บ้านเชียงเรือก ก่อนจะค่อย ๆ พัฒนาไปสู่ความเป็นชุมชนการค้าอันคึกคัก ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการสร้าง “กาดหลวง” หรือ “กาดวโรรส” บริเวณข่วงเมรุในอดีต ที่ซึ่งเคยเป็นพื้นที่สำหรับประกอบพิธีกรรมของเมืองเชียงใหม่ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ทรงมีบทบาทสำคัญในการย้ายพระอัฐิของเจ้าหลวงเชียงใหม่และเชื้อพระวงศ์ไปยังวัดสวนดอก จากนั้น เจ้าอินทวโรรสได้ใช้ทุนทรัพย์ในการพัฒนาให้บริเวณข่วงเมรุเป็นตลาดการค้าที่เจริญรุ่งเรือง เส้นทางใหม่ที่ถูกตัดผ่านพื้นที่นี้คือถนนช้างม่อย ซึ่งเชื่อมโยงกับย่านท่าแพและกาดหลวง กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ถนนช้างม่อยเติบโตเป็นย่านเศรษฐกิจสำคัญ อาคารร้านค้าต่าง ๆ ผุดขึ้นตามเส้นทางสัญจรที่มุ่งตรงเข้าสู่ศูนย์กลางตลาด ในยุคที่ถนนช้างม่อยรุ่งเรืองที่สุด ย่านนี้เต็มไปด้วยความคึกคัก อาคารหลากหลายรูปแบบทั้งเรือนไม้ เรือนแถว อาคารสไตล์ยุโรป และโรงแรม รวมถึงแหล่งบันเทิงต่าง ๆ ก็เรียงรายตามแนวถนน เช่น โรงภาพยนตร์ศรีนครพิงค์ที่ตั้งอยู่บริเวณถนนช้างม่อยเชื่อมต่อกับถนนราชวงศ์ ย่านนี้ยังเป็นจุดรวมตัวของผู้คนในช่วงเทศกาลหรือกิจกรรมสำคัญ ภาพที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของหลายคนคือ ขบวนแห่นางงามในงานฤดูหนาวของเชียงใหม่ ที่นำโดยรถเวสป้านับร้อยคัน มีประชาชนมารอชมขบวนเรียงรายตลอดสองฝั่งถนน แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนผ่าน แต่เสน่ห์ของถนนช้างม่อยยังคงอยู่ ย่านนี้ในปัจจุบันยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตนเองผ่านอาคารดั้งเดิมที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี บรรยากาศของถนนช้างม่อยในวันนี้เต็มไปด้วยร้านค้าหลากหลายประเภท ทั้งร้านกาแฟ ร้านของที่ระลึก ร้านงานฝีมือ และสินค้าโฮมเมด ซึ่งสะท้อนความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ […]

เส้นทางรถไฟสายเหนือ เรื่องเล่าบนรางเหล็กที่พาเชียงใหม่สู่โลกกว้าง

เส้นทางรถไฟสายเหนือ เป็นหนึ่งในโครงการสำคัญที่ช่วยพัฒนาและเปลี่ยนแปลงประเทศไทยอย่างมากมาย เป้าหมายของการสร้างทางรถไฟสายนี้ คือการเชื่อมกรุงเทพฯ กับเชียงใหม่ เมืองสำคัญทางภาคเหนือที่มีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่โดดเด่น แต่การสร้างเส้นทางนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะภูมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขาและพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก ทำให้การก่อสร้างต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมายเส้นทางนี้เริ่มต้นขึ้นหลังจากการสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือเสร็จสมบูรณ์ โดยแบ่งการก่อสร้างออกเป็นช่วง ๆ เริ่มจากพระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปากน้ำโพ พิษณุโลก ลำปาง และสุดท้ายถึงเชียงใหม่ รวมระยะทางทั้งสิ้น 752 กิโลเมตร การก่อสร้างกินเวลานานหลายสิบปี และยังต้องขุดอุโมงค์ 4 แห่ง เพื่อตัดผ่านภูเขา ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าในยุคนั้น แนวคิดของการสร้างทางรถไฟสายเหนือเกิดขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเห็นถึงความสำคัญของการเชื่อมโยงภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความเจริญด้านเศรษฐกิจและการเดินทาง หลังการสำรวจและวางแผน ทางรถไฟสายนี้ก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ และรถไฟขบวนแรกเดินทางถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2464 ซึ่งตรงกับช่วงปลายรัชกาลที่ 5 สถานีรถไฟเชียงใหม่ไม่ได้เป็นเพียงจุดหมายปลายทางของเส้นทางนี้ แต่ยังเปรียบเสมือน “ประตูบานใหญ่” ที่เปิดรับผู้คนจากทั่วประเทศเข้าสู่เชียงใหม่ การเดินทางด้วยรถไฟทำให้เชียงใหม่กลายเป็นเมืองที่เข้าถึงง่ายขึ้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และการเมือง พื้นที่รอบสถานี เช่น สันป่าข่อย และหนองประทีป ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว คลังสินค้าถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับสินค้าและการขนส่ง ทำให้การขนส่งทางเรือที่เคยสำคัญในอดีตลดบทบาทลง โรงแรมรถไฟยังถูกใช้เป็นสถานที่รองรับแขกบ้านแขกเมือง รวมถึงงานประชุมใหญ่ […]

1 3 4 5