เงินเฟ้อทำให้เงินที่ถือครองอยู่มีมูลค่าน้อยลงไปไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทยแต่ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รายงานเงินเฟ้อไทยประมาณ 5% ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับ อังกฤษ 9% และสหรัฐ 8% ถือว่าเป็นเรื่องน่ากลัวมากทีเดียว ในประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างสหราชอาณาจักร อังกฤษ สหรัฐ และ ยุโรป ปีนี้ถือว่ารุนแรงๆ อย่างมาก ว่าแต่มันเกิดจากอะไร และทำไมเงินเฟ้อแต่ละที่ อัตรามันไม่เท่ากันแล้วมันส่งผลกระทบต่อเราอย่างไร
โดย ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ การเพิ่มขึ้นของราคาไม่ใช่สินค้าชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่น เนื้อหมูแพงเราอาจจะไม่นับว่า เนื้อหมูแพง เป็นเงินเฟ้อ แต่ถ้ามีการเพิ่มขึ้นของระดับราคาต้นทุนในการใช้ชีวิตขึ้นพร้อมๆกันแล้วขึ้นไปเรื่อย ๆ นี่คือการเปลี่ยนแปลงของราคาโดยรวมเพิ่มขึ้น
ส่วนใหญ่ “เงินเฟ้อ” จะวัดจากดัชนีผู้บริโภค วิธีคำนวณ คือ เอาสัดส่วนของการบริโภคของคนโดยเฉลี่ยของประเทศ มาคนหนึ่ง แบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ เป็นอาหาร เป็นน้ำมัน หรือบริการอะไรก็แล้วแต่ เราก็ไปคิดเอาว่าสินค้าชนิดนี้ราคาเป็นยังไงเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แล้วก็คิดค่าเฉลี่ยเป็นตัวเลขขึ้นมา
แล้วทำไมเงินเฟ้อในแต่ละประเทศไม่เท่ากัน ประเด็นใหญ่ ๆ คือ ความต้องการในแต่ละประเภทขึ้นลงไม่เท่ากัน อย่างเช่น บางประเทศในยุโรป ราคาแก๊สธรรมชาติขึ้นเยอะมากเพราะปัญหารัสเซียยูเครน เขาไม่มีทางเลือก เพราะปัญหาเกิดขึ้นจากตรงนั้นเขาไม่รู้จะไปเอาแก๊สจากไหน ราคาก็อาจจะขึ้นเยอะกว่าราคาน้ำมัน ยุโรปก็อาจจะได้รับผลกระทบเยอะเพราะราคาต้นทุนในการใช้พลังงานอยู่ตรง
คำถามต่อมา คือ เงินเฟ้อมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ? ในทางเศรษฐศาสตร์บอกว่ามันมาจาก 2 แหล่ง คือ มาจาก “ความต้องการ(Demand) หรือ อุปสงค์” คือ มีคนมาไล่ซื้อสินค้า สินค้าเกิดความต้องการที่สูงขึ้นมากทำให้เศรษฐกิจโตเร็วเกินไป
สมมุติว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย สินค้ามีเท่าเดิม แต่คนรวยขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น มีการไล่ซื้อสินค้าที่มีอยู่เท่าเดิม ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น อุปสงค์เยอะขึ้น คนซื้อเยอะขึ้น เศรษฐกิจพุ่งสูง นี่คือฝั่งที่มาจาก อุปสงค์ หรือ ความต้องการ
อีกฝั่งหนึ่ง คือ ฝั่งที่มาจาก “อุปทาน (Supply)” อันนี้คือไม่ได้ทำอะไรเราอยู่เฉยๆ สบายๆ เศรษฐกิจก็ไม่ดีแล้วเงินมันเฟ้อได้อย่างไร เงินเฟ้อ 5% ได้ไง เช่น ร้านข้าวข้าวแกงข้างที่ทำงานขึ้นราคา จ่ายแค่ค่าข้าวอย่างเดียวก็ขึ้นเกิน 5% แล้วนะ
ที่มามันก็คือเรื่องเดิมที่คุยกันไว้แต่ต้น แต่มันเป็นการคำนวณที่แตกต่างกันไปตามความต้องการ สมมุติว่า ถ้ากลุ่มคนที่มีรายได้น้อย ปกติสัดส่วนของอาหารและพลังงาน จะมีเยอะ กว่าฝั่งที่เป็นการบริการที่มีรายได้เยอะ เงินที่มี 1,000 บาท ใช้จ่ายในแต่ละเดือน อาจจะมีส่วนอาหารอยู่นิดเดียว เพราะว่านำไปใช้อย่างอื่น เช่น ใช้บริการท่องเที่ยว ตั๋วเครื่องบิน เป็นต้น น้ำหนักของการใช้จ่ายในส่วนที่เป็นภาคบริการอื่นๆ อาจจะเยอะกว่าอาหาร

เมืองไทยต้นเหตุของเงินเฟ้อส่วนใหญ่มาจากต้นทุน อาหารและพลังงาน
ช่วงนี้ต้องบอกว่าในเมืองไทยต้นเหตุของเงินเฟ้อส่วนใหญ่มาจากต้นทุนหรือฝั่งอุปทาน แล้วก็เป็นเงินเฟ้อที่มาจากอาหารและพลังงาน ที่เยอะจนคนที่มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะว่า ในความต้องการของคนกลุ่มนี้ คือ อาหารและพลังงาน และเป็นสัดส่วนที่เยอะมาก ส่วนคนรวยจะไม่รู้สึกเลย เดือนนึงใช้หมื่นบาทจ่ายค่าน้ำมันนิดเดียว แต่คนจนใช้แค่ชื้อน้ำมันพันบาทถือว่าเป็นสัดส่วนที่ใหญ่มากในการใช้เพื่อค่าครองชีพ
ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในประเทศไทย | |
ปัจจัย | สัดส่วนในการใช้จ่ายค่าอาหาร |
ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นจากราคาอาหารและราคาพลังงาน | ผู้มีรายได้น้อย 49 เปอร์เซ็นต์ |
เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว | ผู้มีรายได้สูง 31 เปอร์เซ็นต์ |
ที่มา KKP Re search
แต่เมื่อมองไปที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศญี่ปุ่น ที่มีเงินเฟ้อ แค่ 2.1 เปอร์เซ็นต์มันเกิดจากอะไร ?
ประเด็นนี้ก็ใช้หลักการเดียวกัน คือ อุปสงค์และอุปทาน นั้นเพราะ เศรษฐกิจไทยที่ว่าแย่แล้ว แต่ญี่ปุ่นแย่กว่า “ญี่ปุ่นเจอปัญหาเงินฝืด” ซึ่งตรงกันข้ามกับ “เงินเฟ้อ” “เงินฝืด” คือ ปัญหา เงินเฟ้อ คือ ระดับราคาที่เพิ่มขึ้นทุกปี เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ราคาน้ำปลา 1 ขวดนึง เคยซื้อ 15 บาทปีถัดๆไปขึ้น 16 บาท 17 บาทอย่างนี้เรียกว่า “เงินเฟ้อ”
แต่ที่ประเทศญี่ปุ่นเจอ คือ “ปัญหาเงินฝืด” คือ “ราคาลดลง” เพราะว่า ญี่ปุ่น มีปัญหาเรื่องของโครงสร้างประชากรที่ลดลงเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการหายไป ประกอบกับเศรษฐกิจไม่ดีทำให้การซื้อสินค้า ลดน้อยลงเรื่อย ๆ ตามประชากร
เช่น ร้านสินค้าร้อยเยน ที่ก่อตั้งมานานมากกว่า 30 ปี ทุกวันนี้ร้านก็ยังมีอยู่และขายในราคาเท่าเดิม นั้นคือภาพสะท้อนที่ดีว่า ญี่ปุ่น 30 ปีที่ผ่านมาไม่เคยมีเงินเฟ้อเลย คือ ของราคา 100 เยน เมื่อ 30 ปีที่แล้วขายได้ยังไง วันนี้ก็ขายได้อย่างนั้น ราคาไม่ขยับเลย ถ้าไม่ขยับเลยแล้วถามว่า “แล้วมันอยู่ได้ยังไงในเมื่อเงินเฟ้อทั่วโลกขึ้นไปถึง 8 – 9%” เงินเฟ้อญี่ปุ่นก็ขึ้นแล้วขึ้นไป 2 % ถือว่าเยอะแล้วสำหรับประเทศญี่ปุ่น
แต่ว่านั้นคือปัญหา เพราะว่า ถ้าเราเป็นผู้ประกอบการ ต้นทุนการผลิตขึ้น เพราะน้ำมันขึ้นมาแล้วขึ้นราคา ส่งผ่านต่อไปก็ได้เพราะเศรษฐกิจไม่ดี
แล้วใครรับภาระ ? ในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบต้นทุนที่แพงขึ้นเรื่อย ๆในขณะที่ราคาขายขึ้นไม่ได้ เพราะเกิดร้านร้อยเยนอยู่ดี ๆ ขึ้นไป 110 เยน คนอาจจะไม่เข้าร้านเลย ประเด็นนี้ คือความสามารถในการส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้นไปให้ผู้บริโภคมีอย่างจำกัดมาก ไม่ว่าต้นทุนสูงขนาดไหนก็ผ่านลำบาก
ถ้าข้ามฝั่งไปดู สหรัฐอเมริกา จะเห็นว่าปัญหานั้นตรงกันข้ามกัน คือ เศรษฐกิจที่กำลังร้อนแรง สมมุติว่า ทุนขึ้น 8% ก็ส่งผ่านต้นทุนไปเลย 8% แต่ถ้าเป็นประเทศญี่ปุ่น สมมุติว่าต้นทุนมา 8 % เขาอาจจะส่งไปที่ 2% ในส่วนที่เหลือก็เก็บเอาไว้
สิ่งนี้เรียกว่า สเต๊กสเตชั่น (Steak Station) คือ ภาวะที่ เศรษฐกิจถดถอย (stagflation) เศรษฐกิจที่ไม่นิ่งและไม่โต ปัญหาสำคัญของ เศรษฐกิจถดถอย หรือที่เราเรียกแบบไทยๆ ก็คือ ข้าวยากหมากแพง ของแพงขึ้นแต่รายได้ไม่โตตาม เพราะฉะนั้นถ้าจะขึ้นราคาก็ขึ้นลำบาก
ลองนึกถึงเมืองไทย หมูแพงหนูขึ้นไป 40% และร้านหมูกระทะ ขึ้นราคา 40% ภายในวันเดียวจะเกิดอะไรขึ้น ? ดังนั้นร้านหมูกระทะปรับขึ้นแค่ 10% หรือ 20% ที่เหลือก็อั้นไว้แล้วหวังว่าวันนึง ราคาหมูลงแต่เขายังขายราคาเดิมที่ขึ้นไว้เขาก็ได้กำไรจากส่วนนั้นไป
ถ้าเกิดประเทศที่เจอปัญหาเงินเฟ้อเยอะขนาดนี้เราสามารถตรึงมันไว้ได้หรือไม่ หรือถ้าตรึงไม่ได้มันส่งผลอย่างไร?
ประเทศไทย เมื่อเทียบกับทั้งโลก จัดว่าเป็นประเทศเล็กและเปิด คือ เรา นำเข้า ส่งออก เยอะมากแปลว่าสินค้าเกือบทุกชนิด แม้กระทั่งสินค้าที่เราผลิตเองและส่งออกเอง เช่น ข้าว เรายังกำหนดราคาไม่ได้เลย สัดส่วนของเราต่อตลาดโลกนั้นถือว่าเราเล็กมาก ดังนั้นอุปทาน ที่เราส่งไปจะกระทบราคาในตลาดโลกได้แค่ผิวนอกหรือแทบไม่ส่งผลอะไรเลย แต่ถ้าราคาโลกขึ้นยังไงราคาในบ้านเราก็ขึ้น ราคาโลกลงราคาในประเทศไทยยังไงก็ลงตาม
ที่นี่ปัญหาก็คือ เวลาที่มีเงินเฟ้อเราต้องมีอัตราเงินเฟ้อตามตลาดโลกวิ่งคู่กันเลยก็ว่าได้ นั้นเพราะ การนำเข้า ส่งออก มีมูลค่าถึง 150% ของ GDP ปัญหาที่ตามมา คือ เวลาเจอต้นเหตุของปัญหาเงินเฟ้อเกิดขึ้นในต่างประเทศ ประเทศไทยก็ต้องรับอัตราเงินเฟ้อเข้ามาด้วยโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้

เงินเฟ้อในต่างประเทศคู่ค้าอยู่ที่ 8 – 9 % สำหรับไทย 5 % ถือว่าน้อยแต่น่าจะค่อยๆทยอยขึ้นไปกระทบต้นทุนก่อนราคาขายอาจจะตามมาอย่างแน่นอน
เงินเฟ้อสูงกระทบเศรษฐกิจอย่างไร ? สามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
1. ค่าครองชีพของคนทั่วไปก็จะสูงขึ้นทำให้อำนาจการซื้อลดลง จะต้องวางแผนการใช้เงินอย่างรัดกุม เลือกว่าจะใช้อย่างไรในเงินที่มีอย่างจำกัด เช่น ปกติเติมน้ำมันไปทำงาน 1,500 บาท ต่ออาทิตย์ ตอนนี้ต้องจ่าย 2,500 บาท นั้นแปลว่าทุกครั้งที่เติมน้ำมันเราก็ใช้เงินอย่างอื่นได้น้อยลงแน่นอน นั่นก็แปลว่าสินค้าอย่างอื่นก็ต้องขายได้น้อยลง เพราะว่าค่าครองชีพแพงขึ้นอำนาจการซื้อลดลงต้นทุนในการบริโภคหรือว่าเศรษฐกิจที่จะหมุนอย่างอื่น เช่น คนในตลาดหรือคนที่ซื้อออนไลน์ก็ต้องหายไป เพราะว่า ค่าใช้จ่ายถูกนำไปเพิ่มในส่วนของค่าน้ำมัน
2. เมื่อราคาน้ำมันแพงขึ้นบริษัทก็ได้ผลกระทบ ต้นทุนแพง กำไรของบริษัทได้รับผลกระทบค่าขนส่งก็แพง ค่าขนส่งจะแพง(Logistics cost) ค่าแรงก็แพง กำไรเหลือน้อยลง ธุรกิจต้องทำอย่างไร เพื่อรักษากำไรให้ได้เท่าเดิม ก็ต้องจ้างงานน้อยลง หรือ ปลดคนงาน
3. เงินเฟ้อสูงขึ้นธนาคารกลางส่วนใหญ่ อย่างเช่น ธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารกลางยุโรป เป็นต้น จะไม่ปล่อยผ่านอย่างแน่นอนจะต้องเริ่มขึ้นดอกเบี้ย เพื่อให้ต้นทุนทางการเงินแพงขึ้นเศรษฐกิจก็จะหมุนช้าลง เพราะต้นทุนแพงขึ้น การบริโภคและการลงทุนก็จะช้าลง
ผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ
1. ค่าครองชีพสูงขึ้น อำนาจการซื้อลดลง เงินมีจำกัด
2. ภาคธุรกิจจ้างงานลดลง เพื่อรักษาผลกำไร
3. ธนาคารกลางขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ที่มา KKP Re search
แล้วถ้าปัญหารัสเซีย – ยูเครน เบาลง พลังงานเพิ่มขึ้นมีใช้คล่องตัวขึ้นจะช่วยได้มากน้อย ขนาดไหน ?
1. ก็ถือช่วยได้ได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะปัญหาเงินเฟ้อโลกนั้นเกิดจากปัญหาหลายด้านไม่ใช่เรื่องของพลังงานด้านเดียว เพราะจริงๆ แล้ว ปัญหาเริ่มมาตั้งแต่ covid- 19 แล้วทีนี้พอเปิดประเทศการพลิตตามไม่ทันความต้องการ
เช่น ในสหรัฐสินค้ารถมือสองหรือยูสคาร์ มีความต้องการสูงส่งผลให้เงินเฟ้อในสหรัฐเพิ่มขึ้น นั้นเพราะว่าเขาปิดเมืองไป 2 ปี ไม่มีใครอยากจะซื้อรถเพราะเดินทางไม่ได้ พอเมืองเปิดมาอยากจะซื้อรถ รถผลิตไม่ทันเพราะโรงงานปิดไปด้วยก็ไปไล่ซื้อรถมือสองที่ราคาพุ่งขึ้นไปถึง 40% ตอนนี้ราคารถในเมืองไทยก็เริ่มขึ้น รถมือสองก็เริ่มขึ้น เพราะว่ารถใหม่แพงขึ้นไปด้วย
2. ถ้าสงครามรัสเซีย ยูเครน จบก็น่าจะดีขึ้นในส่วนของต้นทุนพลังงานที่น่าจะคลี่คลายปัญหาไป
3. ความต้องการที่มีมากและกำลังร้อนแรงอยู่ในสหรัฐอเมริกา ก็ส่งผลต่อราคาเหมือนกันที่จะทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น อย่างที่ทราบกันถึงแม้ว่าปัญหา รัสเซีย ยูเครน จบก็อาจจะช่วยได้แค่ส่วนหนึ่ง แต่ว่าต้นเหตุของปัญหาเงินเฟ้อโลกเนี่ยก็กว่าจะยังอยู่เหมือนเดิม
เวลาเกิดสถานการณ์เงินเฟ้อสูง คนประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างอังกฤษ ยุโรป เขาปรับตัวกันอย่างไร ?
จริงๆ ปัญหาเงินเฟ้อจะไม่ได้เป็นประเด็นเลยถ้ารายได้เติบโตตามเงินเฟ้อ เช่น สหรัฐอเมริกา ก็จะเจอปัญหาแต่ว่าเศรษฐกิจเขาโตดี คนมีงานทำ อันนี้ก็แก้ปัญหาแบบนั้นไปว่า เศรษฐกิจเขาดีเขารับเงินเฟ้อได้
ในประเทศญี่ปุ่น หรือ ประเทศไทย ที่รายได้และรายจ่ายไม่โตตามกัน อันนี้จะกลายเป็นปัญหาและแก้ยาก พอเป็นปัญหาที่กระทบ ค่าครองชีพ ก็หนีไม่พ้นว่ารัฐบาลต้องเข้ามาช่วยเหลือบางส่วน ต้องเข้ามาช่วยอุดหนุนราคาน้ำมัน ก็กลายเป็นภาระต้นทุนที่มันสูงขึ้น
ต้นทุนในการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลอย่างเดียว วันนึง ประมาณสัก 600 กว่าล้านเดือน 20,000 ล้าน วันนี้ ต้นทุนเกิดขึ้นแล้ว อย่าบอกว่าไม่เป็นไร ราคาน้ำมันดีเซลยังไม่ขึ้นอย่าเพิ่งขึ้นค่าขนส่งอันนั้นคือเป็นภาระที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลแล้ว ก็คือ เป็นเงินที่จะต้องนำไปพัฒนาอย่างอื่นแต่นำมาใช้กับการรับมือแทนในรูปแบบเงินอุดหนุนจากรัฐบาล
แต่ว่าวันนี้เงินเอาเข้าไปอุดหนุน ก็คือ การไปสร้างหนี้เพิ่มเติมแล้วเราก็ต้องมาจ่ายคืนในอนาคต

เรียบเรียงโดย : บ่าวหัวเสือ
ร่วมแสดงความคิดเห็น