ปุ๋ยเคมี ถือ ว่าเป็นหนึ่งในต้นทุนการผลิตที่มีมูลค่าต่อหน่วยสูงมากในการทำการเกษตรแต่ละครั้งและในปีนี้ราคาปุ๋ยเคมีปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะเหตุการณ์ในหลาย ๆ ปัจจัยส่งผลต่อการนำเข้า แต่ขณะเดียวกันปุ๋ยอินทรีย์ที่ไม่ต้องมีการนำเข้าแต่ทำไมราคามันดันสูงขึ้นไปด้วย
ประเทศไทย ถือว่าเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีพื้นที่เพาะปลูกถึง 131 ล้านไร่ นั้นทำให้ต้องมีการนำเข้าปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้ 2 ประเทศหลักๆ ที่ประเทศไทยมีการนำเข้าปุ๋ยเคมี คือ จีน และ รัสเซีย
ประเทศไทยมีการนำเข้าปุ๋ยจากจีน ประมาณ 1 ใน 4 ของสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีการนำเข้า ในแต่ละปีมีการนำเข้าปุ๋ยประมาณ 6 ล้านตัน ตั้งแต่ปี 2564 จีนมีการจำกัดในเรื่องของโควตาส่งออกปุ๋ยเคมี สาเหตุเพราะว่าประเทศจีนจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมีจำนวนมากขึ้น ดังนั้น จีนจึงได้มีการจำกัดการส่งออก ทำให้เกิดอุปทานหรือที่เราเรียกว่า “สิ่งที่ถูกนำเข้ามาสู่ตลาดโลกเพื่อที่จะขายนั้นมีการหดตัวลงไป” ทำให้ราคาปุ๋ยเคมีทั่วโลกดีดตัวสูงขึ้น นั้นเพราะทั่วโลกมีความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณเท่าเดิมแต่ปริมาณปุ๋ยเคมีในตลาดโลกลดลง ทำให้ราคาปุ๋ยเคมี ในปี 2564 ขยับตัวสูงขึ้น
อีกส่วนหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ส่งผลต่อราคาปุ๋ยเคมี คือ สงครามการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ทันทีที่มีการรุกราน นานาชาตินำโดยสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศนาโต้ มีการคว่ำบาตรทางการค้ากับรัสเซีย นั้นทำให้รัสเซียโต้ตอบกลับ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อระบบเศษฐกิจ อาหารโลก และพลังงาน
นั้นเพราะว่า รัสเซีย ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ผลิตปุ๋ยรายใหญ่ของโลก ประมาณ 1 ใน 8 ของโลก จากข้อมูลทางการค้าโลก รัสเซียเป็นผู้ผลิตและส่งออกปุ๋ยรายใหญ่อันดับ 1 ของโลก ปริมาณรวม 34.13 ล้านตัน มูลค่า 6,995 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2563 มีส่วนแบ่งทางการตลาด 12.6%
ดังนั้น 2 แรงส่ง คือ จีน ที่มีการจำกัดโควตาปุ๋ยในการส่งออกไปยังต่างประเทศ และ รัสเซีย ที่มีการลดการส่งออกปุ๋ย โดยพุ่งเป้าไปยังกลุ่มประเทศที่ไม่เป็นมิตร ถึงแม้ว่าจะมีการส่งออกปุ๋ยมายังประเทศไทยก็ตาม แต่ราคาปุ๋ยที่ส่งมาให้ประเทศไทยยังคงมีการขยับปรับตัวสูงขึ้น

ราคาปุ๋ยรัสเซียที่มีการส่งออกราคาเท่าไหร่กันบ้าง
ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมี ถึง 8.06 ล้านตันต่อปี แต่สามารถผลิตภายในประเทศได้ประมาณ 2 ล้านตันต่อปี ในขณะที่เหลือประมาณ 7 ล้านตัน ต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศ เดิมปุ๋ยเคมีขนาด 50 กิโลกรัม ราคาก่อนปรับจะอยู่ที่ประมาณ 600 – 700 บาท ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 1,300 บาท
ราคาปุ๋ยเคมีต่อตัน โดยปกติจะอยู่ที่ประมาณ 16,000 บาท ต่อกระสอบน้ำหนัก 1 ตัน ตอนนี้ราคาปรับขึ้นไปหนึ่งเท่าตัวอยู่ที่ 32,000 บาท
พืชแต่ละชนิดจำเป็นต้องมีการใช้ปุ๋ยเคมีอัตราส่วนที่ไม่เท่ากัน ผลผลิตทางการเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากปุ๋ยก็มีหลายประเภทซึ่งอาจจะไม่เท่ากัน เช่น ยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ข้าวเปลือก เป็นต้นรับผลกระทบจากการปรับตัวขึ้นของราคาปุ๋ยด้วยกันทั้งสิ้น หนักที่สุด ก็คือ ปาล์มน้ำมัน ต้นทุนปุ๋ยเคมีของปาล์มน้ำมันจากเดิมอยู่ที่ 1,600 บาท ตอนนี้เพิ่มเป็น 3,200 บาท
ทีนี้ลองมาดูกันบ้าง ถ้าเกิดเราจะไม่ใช้ปุ๋ยเคมี หันมาใช้ ปุ๋ยอินทรีย์ ด้วยปุ๋ยอินทรีย์ประเทศไทยสามารถผลิตได้ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการเขามาทดแทนในตลาดส่วนที่ขาดหายไปหรือส่วนที่มีราคาสูงขึ้นจากการขาดหายไปของเจ้าปุ๋ยเคมีต่างๆ ด้วย แม้จะเป็นปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก จากมูลสัตว์ต่างๆ สิ่งเหล่านี้เราสามารถทำได้ แต่ยังอยู่ในปริมาณที่ค่อนข้างจะจำกัด
หากมองในเรื่องของตัวเคมีแล้วต้องบอกว่า ปุ๋ยเคมีนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบได้ว่า ต้องมีเคมีประเภทต่าง ๆ อย่างเช่น มีไนโตรเจน หรือมีโปตัสเซียม เพิ่มขึ้นเท่าไหร่ เป็นต้น และอาจจะตอบโจทย์เกษตรกรที่มีการใช้ปุ๋ยเคมีกันมาระยะหนึ่งแล้ว
ในขณะที่หากมองไปที่ปุ๋ยอินทรีย์จะแตกต่างกันเราไม่สามารถที่จะควบคุมปริมาณของสารเคมีต่างๆได้นอกเหนือจากนี้การเพาะปลูกด้วยปุ๋ยเคมีของเกษตรกรมาเป็นเวลายาวนานนั้น พืชอาจจะมีความคุ้นชินกับการใช้ปุ๋ยเคมีมากกว่าปุ๋ยอินทรีย์
ดังนั้นพูดถึงเรื่องของแนวทางที่จะเป็นทางออก คือ การใช้ปุ๋ยอินทรีย์นั้นอาจจะยังเป็นสิ่งที่ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ในทันที แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์แบบนี้ทำให้หลายคนมองว่า ถึงเวลาหรือยังที่จะหันมาพัฒนาสูตรต่างๆ ของปุ๋ยอินทรีย์ในเมืองไทย

เมื่อเทียบกันราคาและสารอาหารแบบกิโล ต่อ กิโล ระหว่างปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมี
ทีนี้ลองมาดูตัวเลขในเชิงราคา เชิงเคมีเทียบกันระหว่าง “ปุ๋ยอินทรีย์” กับ “ปุ๋ยเคมี” ถ้าหากเทียบกันระหว่างปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยยูเรีย สูตร 46 – 0 – 0 ปุ๋ยยูเรีย คือ หนึ่งในปุ๋ยไนโตรเจนที่มีการนำเข้าและมีความต้องการค่อนข้างสูง
ปุ๋ยอินทรีย์ 1 กระสอบ หนัก 25 กิโลกรัม ราคา 300 บาท จะมีไนโตรเจน 2% ราคาต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม จะอยู่ที่ 12 บาท
ปุ๋ยยูเรีย 1 กระสอบ หนัก 50 กิโลกรัม ราคา 1,000 บาท จะมีไนโตรเจน 46 % ราคาต่อน้ำหนัก 1 กิโล 20 บาท
ที่นี่มาคิดปริมาณการใช้ปุ๋ยเพื่อให้ธาตุอาหารไนโตรเจน 1 กิโลกรัมเท่ากันต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์ 12.5 กิโลกรัม หรือ 150 บาทส่วน ปุ๋ยยูเรียใช้ประมาณ 2.5 กิโลกรัม หรือ 43 บาท
สำหรับประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูก ประมาณ 131 ล้านไร่ มีความจำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมีสูงถึง 8.06 ล้านตันต่อปี แต่ประเทศไทยไม่สามารถที่จะผลิตปุ๋ยเคมีได้เอง ดังนั้นในปี 2564 ประเทศไทยมีการนำเข้าปุ๋ยเคมีถึง 5.6 ล้านตัน มูลค่า 73,000 ล้านบาท

แบ่งตามประเภทปุ๋ยที่มีความต้องการนำเข้ามีอะไรบ้างและปริมาณเท่าไร พบว่า
ชนิดของปุ๋ย | จำนวน(ล้านตัน) | มูลค่า(ล้านบาท) |
ปุ๋ยไนโตรเจน | 2.74 | 33,185.24 |
ปุ๋ยผสม | 1.92 | 30,081.50 |
ปุ๋ยโพแทสเซียม | 0.98 | 10,558.40 |
ปุ๋ยฟอสฟอรัส | 4,238.7 | 15.43 |
ปุ๋ยอินทรีย์ | 490.5 | 19.62 |
รวม | 5.6 | 73,860 |
ที่มาของข้อมูล : สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์
ประเทศไทยมีนำเข้าปุ๋ยมาจากประเทศต่างๆ 5 อันดับแรก มีดังต่อไปนี้
– จีน สัดส่วน 22.3%
– ซาอุดีอาระเบีย สัดส่วน 14.5%
– มาเลเซีย สัดส่วน 8.8%
– รัสเซีย สัดส่วน 7.9%
– กาตาร์ สัดส่วน 7%
จะเห็นว่ามีการนำปุ๋ยจากจีนและรัสเซียรวมกันแล้วเกิน 30% ของการนำเข้าปุ๋ยทั้งหมด ดังนั้นเวลาที่เกิดเหตุการณ์ 2 ประเทศ ส่งผลกระทบต่อเรื่องของต้นทุนการทำการเกษตรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะเมืองไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม
นั้นทำให้เราอาจจะต้องมานั่งคิดว่าเราจะทำอย่างไรเพื่อลดการพึ่งพิงการนำเข้าจากต่างประเทศและลดความอ่อนไหว ในการที่จะต้องนำเข้าปุ๋ยจากต่างประเทศที่ราคาอาจมีความผันผวนในอนาคตก็ได้ เมื่อหันมามองว่า การทำปุ๋ยอินทรีย์ภายในเมืองไทยนั้น จะต้องมีวิธีการเชิงวิชาการอย่างไร เพื่อย้ำให้มั่นใจว่า เมืองไทยซึ่งเป็นประเทศที่อิงเรื่องของเกษตรกรรมไม่น้อยนั้นสามารถที่จะเดินหน้าได้แบบยั่งยืนและลดการพึ่งพิงการนำเข้าจากประเทศอื่น
นอกเหนือจากนี้อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นผลตอบแทนอย่างชัดเจน คือ การที่จะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าในการที่จะมีเกษตรอินทรีย์ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
เรียบเรียงโดย : บ่าวหัวเสือ

ร่วมแสดงความคิดเห็น