เมื่อพูดถึง “หนี้” คำๆนี้เป็นคำที่หลายคนเกลียด และไม่อยากรับภาระนี้ไว้ เพราะนอกจากจะส่งผลต่อความมั่นคงทางการเงินแล้ว ยังกลายเป็นภาระที่จะกระทบกับการดำเนินชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ที่ตกเป็นหนี้สินต่างๆอีกด้วย
ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนทั้งประเทศสูงถึง 16 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 90.6 ของ GDP ทำให้หลายฝ่ายวิตกกังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว ความล้มเหลวของการแก้ปัญหาของภาครัฐที่จะลดหนี้ครัวเรือนลงมาอยู่ระดับที่ควรจะเป็นได้
นอกจากนี้ ข้อมูลล่าสุดของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังเปิดเผยอีกว่า ปี พ.ศ. 2566 คนไทยมีหนี้สินสูงถึง 559,408 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 11.5 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ รวมทั้งต้องผ่อนชำระหนี้ต่อเดือน 16,742 บาท แบ่งเป็นหนี้ในระบบ 12,012 บาท และนอกระบบ 4,712 บาท
เมื่อเจาะลึกลงไป พบว่า หนี้ที่คนไทยก่อไว้มากที่สุด ได้แก่
อันดับ 1 หนี้บัตรเครดิต
อันดับ 2 หนี้รถยนต์
อันดับ 3 หนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค
ขณะที่สาเหตุที่ทำให้เกิดหนี้มากที่สุด อาทิ
อันดับ 1 การขาดวินัยทางการเงิน
อันดับ 2 รายรับไม่พอกับรายจ่าย
อันดับ 3 วางแผนการลงทุนผิดพลาด
อันดับ 4 มีความรู้ทางการเงินไม่เพียงพอ
นอกจากนี้ ข้อมูลการสำรวจยังพบปัจจัยที่ซ้ำเติมปัญหาหนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้น ทั้งค่าครองชีพ ค่าเล่าเรียนของบุตรหลานที่สูงขึ้น รายได้ที่ไม่พอกับการใช้จ่าย การซื้อสินทรัพย์ถาวร ลงมุนในธุรกิจเพิ่มขึ้น การผ่อนสินค้ามากเกินไปการขาดรายได้จากการว่างงาน
รวมทั้งผลกระทบจากภัยธรรมชาติที่ทำให้ไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ เป็นต้น
ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่กำลังเกิดขึ้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงความเป็นอยู่ของประชาชน ภาครัฐและเอกชนจึงจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันแก้ปัญหา เพื่อไม่ให้หนี้ครัวเรือนขยายตัวไปมากกว่านี้ เช่นเดียวกับภาคประชาชนที่จะต้องวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ก่อหนี้เกินที่จะชำระได้
ที่มา : ไทยรัฐ , มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

ร่วมแสดงความคิดเห็น