พนักงานบริการทางเพศ อาชีพในมุมมืด

ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2567 ในประเทศเบลเยียม ผู้ขายบริการทางเพศได้รับสิทธิ์จากการทำสัญญาจ้างงานอย่างเป็นทางการ ซึ่งรวมถึงการลาป่วยโดยไม่เสียรายได้ และลาคลอด เป็นชาติแรกของโลก

นอกจากผู้ค้าบริการทางเพศที่ทำสัญญาจ้างงานอย่างเป็นทางการ จะได้รับสิทธิ์ดังกล่าวแล้ว พวกเขายังจะได้สิทธิ์และความคุ้มครองที่มอบให้แก่แรงงานจ้างทั่วไปในอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วย เช่น ประกันสุขภาพ และสิทธิประโยชน์การว่างงาน

“นี่คือกรอบกฎหมายอย่างครอบคลุมฉบับแรกของโลก ที่ให้สิทธิ์อย่างเท่าเทียมแก่ผู้ขายบริการทางเพศ และปกป้องพวกเขาจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการทำงาน” นายแดน โบเวนส์ ผู้อำนวยการสหภาพผู้ค้าบริการทางเพศแห่งเบลเยียม กล่าวกับ CNN

ผู้บริการทางเพศในเบลเยียมจะได้รับสิทธิ์ในการปฏิเสธไม่ให้บริการแก่ลูกค้า และ สามารถหยุดกิจกรรมใดๆ ก็ได้ทุกเมื่อ

นายจ้างของผู้บริการทางเพศจะต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐบาล โดยจะออกให้ได้ก็ต่อเมื่อ ว่าที่นายจ้างคนนี้เข้าเกณฑ์ที่รัฐกำหนด เช่น ไม่เคยมีประวัติในข้อหาข่มขืน หรือ ค้ามนุษย์ และนายจ้างนั้นจะมีข้อผูกมัดบางอย่างเช่น ต้องจัดหาถุงยางอนามัยให้แก่ลูกจ้าง, เตียงสะอาด, และ ปุ่มกดสัญญาณฉุกเฉินภายในที่ทำงาน และ อื่นๆ

อย่างไรก็ตาม กฎหมายใหม่ไม่ได้ครอบคลุมผู้ค้าบริการทางเพศทุกแบบ เช่น ผู้ที่ทำงานอิสระ, รับจ้างทางออนไลน์ หรือถ่ายภาพยนตร์สำหรับผู้ใหญ่

โดยกฎหมายนี้เกิดขึ้นมาเพื่อคุ้มครองสิทธิของพนักงานต่างๆ โดยมีความมุ่งหวังไม่ทิ้งคนใดคนหนึ่งใว้ในเงามืด แต่หากจะพูดถึง ประเทศที่ทิ้งอาชีพบางอาชีพไว้ในเงามืด ก็คงต้องย้อนกลับมาพูดถึงประเทศไทย

ประเทศไทยไม่มีโสเภณี หากจะบอกว่าประเทศไทยไม่มีโสเภณี ก็สามารถพูดได้ ตามที่เราเคยได้ยินหลายๆคนพูดกัน แต่ถ้าถามถึงความจริงที่ไม่มีใครอยากพูดถึง ก็คงต้องบอกว่า โสเภณีในประเทศไทยมีอยู่จริง และเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าต่อเศรษฐกิจไทยอีกด้วย ถึงแม้ว่าพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 ได้ระบุห้ามไว้อย่างชัดเจนไม่ให้ทำการชักชวน จัดหา หรือดำเนินธุรกิจซ่องโสเภณี แต่ด้วยช่องโหว่ทางกฎหมายและการบังคับใช้ อุตสาหกรรมบริการทางเพศของไทย ก็ยังคงอยู่และเติบโตมานานหลายทศวรรษ ในขณะที่ ผู้ให้บริการทางเพศต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในเงาที่ไม่มีใครมองเห็น หรือ ทำเป็นมองไม่เห็น

ความท้าทายของผู้บริการทางเพศในประเทศไทย นอกเหนือจากอคติทางสังคม ทัศนคติแง่ลบ การไม่ได้มีตัวตนอยู่ในกฎหมาย และ ไม่มีใครมองเห็น อาจจะเป็นปัญหาที่ท้าทายที่สุดในการทำอาชีพนี้ ในเมื่ออาชีพนี้ไม่อยู่ในสารบบของรัฐทำให้การเข้าถึงสิทธิต่างๆ ถูกลิดรอนไป ยกตัวอย่างในช่วงที่มีการเกิดโรคระบาด โควิด-19 รัฐบาลมีการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบภายใต้โครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” โดยให้เงินจำนวน 5,000 บาทแก่ผู้ที่ได้รับการอนุมัติ คนที่ทำอาชีพค้าบริการทางเพศนั้นไม่สามารถเข้าถึงเงินส่วนนั้นได้ โดยที่ในช่วงที่เกิดโรคระบาด คนที่มีอาชีพเหล่านี้ก็ต้องหยุดงานและสูญเสียรายได้ไปเช่นกัน แตงโม อายุ 27 ปี สาวบาร์แห่งหนึ่งย่าน ถ.ลอยเคราะห์ จ.เชียงใหม่ กล่าวกับ CNN ในปี 2563 ว่า “พวกเราลำบากมาตลอด ปีที่ผ่านมาแขกก็น้อยกว่าทุกปี พอมาเจอเหตุการณ์นี้อีกพวกเราก็แย่กันไปเลย หนูมีรายได้เป็นเงินเดือนอยู่ที่เดือนละ 12,000 บาท และยังได้ค่าดริ้งก์จากแขก พอลูกค้าลดลงเมื่อปลายปี เจ้าของก็ขอลดเงินเดือนมาเป็น 5,000 บาท แต่พอมีประกาศปิดแบบนี้หนูก็ขาดรายได้ไปเลย ตอนนี้ก็จะรอไปรับอาหารฟรีที่มีคนทำแจกตามที่ต่าง ๆ แล้วก็ซื้อมาม่ากับไข่มาตุนเอาไว้ ส่วนเรื่องการลงทะเบียนขอเงิน 5,000 บาทต่อเดือนหนูทำไม่ได้เพราะหนูไม่ใช่คนไทย” สะท้อนให้เห็นว่าอาชีพค้าบริการทางเพศเป็นอาชีพที่ถูกทิ้งไว้กลางทางจริงๆ

ทิศทางของกฎหมายเกี่ยวกับผู้ให้บริการทางเพศของไทย

ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆจากภาครัฐเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางเพศในประเทศไทยมีเพียงแต่ผู้ผลักดันการเปลี่ยนเป็นที่เป็นภาคประชาชน ที่เสนอ ยกเลิก พ.ร.บ ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี ในปี 2564 แต่ก็ไม่เป็นผล

ต่างประเทศเป็นอย่างไร

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นเกี่ยวกับประเทศเบลเยียมที่ได้ให้สิทธิ์จากการทำสัญญาจ้างงานอย่างเป็นทางการ กับผู้บริการทางเพศ

ในประเทศอินเดีย กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณีของอินเดียแม้จะมีวัตถุประสงค์ในการขจัดการค้าประเวณีให้หมดไป แต่ไม่ได้กำหนดให้ทุกการกระทำผิดกฎหมาย และมีนโยบายการจ้างงานหรือการสนับสนุนด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือสนับสนุนให้ Sex worker เลิกประกอบอาชีพ

ในประเทศฝรั่งเศส มีความคิดที่จะกำจัดการค้าประเวณีเหมือนกับประเทศไทย แต่มุมมองต่อ ผู้ให้บริการทางเพศนั้นแตกต่างจากไทย ฝรั่งเศสมองผู้ให้บริการทางเพศเป็นเหยื่อที่ต้องได้รับการช่วยเหลือทางด้านสังคมการเงิน

ในประเทศเยอรมนี มีกฎหมายคุ้มครองผู้ให้บริการทางเพศ โดยอนุญาตให้ประกอบอาชีพค้าประเวณีด้วยความสมัครใจ และได้รับการรับรอง, คุ้มครองจากหน่วยงานของรัฐ และต้องลงทะเบียนกับรัฐ และเสียภาษี เช่นเดียวกับประเทศสิงคโปร์ที่กำหนดให้การค้าประเวณีไม่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่กำหนดเขตพื้นที่ในการให้บริการและห้ามเป็นเจ้าของสถานบริการ เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

สำหรับประเทศที่มีแนวคิดการ จดทะเบียนการค้าประเวณีให้เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย ล้วนมีเจตจำนง ที่คล้ายคลึงกัน คือ สิทธิและเสรีภาพในการประกอบอาชีพ แม้รัฐอาจไม่สนับสนุนแต่ไม่ขัดขวาง เว้นแต่เกินขอบเขตไปสู่ การค้ามนุษย์ที่นับเป็นอาชญากรรมที่ยอมรับ ไม่ได้

ประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงได้ไหม

ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องของกฎหมายต่างๆ สิ่งที่ประเทศไทยจำเป็นต้องมีคือการยอมรับว่าอาชีพให้บริการทางเพศก็คืออาชีพหนึ่ง ที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไม่ต่างจากอาชีพอื่นๆ โดยการเข้ามาทำอาชีพการค้าบริการทางเพศนั้นอาจไม่ได้เป็นเรื่องของความสมัครใจเสมอไป ผู้ให้บริการทางเพศส่วนใหญ่เลือกทำอาชีพนี้เนื่องจากประสบปัญหาทางการเงิน รวมถึงโอกาสทางการศึกษา และการจ้างงานที่จำกัด คงไม่มีใครอยากทำอาชีพที่ถูกเลือกปฏิบัติขนาดนี้แน่นอน ถ้าหากพวกเขาเหล่านั้นมีทางเลือก รัฐควรพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของกฎหมายการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี โดยทบทวนตั้งแต่เจตนารมณ์ของกฎหมาย เนื่องจากการลดปริมาณของผู้ค้าประเวณีสามารถทำได้หลายรูปแบบ โดยไม่ต้องยึดโยงอยู่กับโทษทางอาญาและตีตราให้คนเป็นอาชญากรเท่านั้น ควรเปิดกว้างว่าเครื่องมือที่นำมาแก้ไขปัญหาอาชญากรรมไม่ได้มีแค่กฎหมายเพียงอย่างเดียว เพราะไม่มีใครควรถูกทิ้งไว้ในเงามืดเพียงเพราะมุมมองที่ไม่ดีต่ออาชีพของพวกเขาที่มาจากคนอื่นๆ

ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/foreign/2828908

https://www.bbc.com/thai/52253353

https://tdri.or.th/2022/06/time-to-rethink-prostitution-act

https://www.ilaw.or.th/articles/4598

ร่วมแสดงความคิดเห็น