จีนประกาศมาตรการทางเศรษฐกิจแบบหลวมๆ มุ่งเป้าไปที่สหรัฐในวันอังคารที่ผ่านมา โต้กลับหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่มภาษีศุลกากรต่อสินค้าส่งออกของจีน
ประกาศโดยกระทรวงการคลังของประเทศจีน จัดเก็บภาษี 15% ต่อ ถ่านหิน และ ก๊าซธรรมชาติเหลว และ เก็บภาษี 10% ต่อ น้ำมันดิบ, เครื่องจักรกลการเกษตร, รถยนต์ขนาดใหญ่และรถกระบะ มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์
กระทรวงพาณิชย์ และ การบริหารศุลกากรของประเทศจีน ประกาศการควบคุมการส่งออกใหม่ซึ่งมีผลโดยทันทีต่อ เหล็ก และ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ทังสเตน, แร่ธาตุที่สำคัญซึ่งมักใช้ในอุตสาหกรรมและการป้องกันประเทศ, เช่นเดียวกับ เทลลูเรียม ซึ่งใช้ในการทำโซล่าเซลล์
กระทรวงดังกล่าวยังกล่าวอีกว่ามีสองบริษัทของอเมริกาได้ถูกเพิ่มเข้าไปในรายชื่อหน่วยงานที่ไม่น่าเชื่อถือ ได้แก่ บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ Illumina และกลุ่มผู้ค้าปลีกสินค้าแฟชั่น PVH Group ผู้ที่เป็นเจ้าของ คาลวิน ไคลน์ และ ทอมมี่ ฮิลฟิเกอร์ โดยกล่าวว่า ทั้งสองบริษัทละเมิดหลักการค้าตลาดปกติ
โฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในวันอังคารว่าได้พบการPVH เลือกปฏิบัติและแทรกแซงการดำเนินงานของบริษัทจีน โดยโฆษกไม่ได้กล่าวถึงข้อมูลเชิงลึกของการกระทำดังกล่าว
PVH วิจารณ์การตัดสินใจดังกล่าวและกล่าวว่าจะร่วมมือกับทางการจีนเพื่อแก้ไขสถานการณ์
มาตรการของประเทศจีนจะมีผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจและธุรกิจของสหรัฐ อย่างเช่น จีนเป็นผู้ผลิตทังสเตนเข้มข้นรายใหญ่ที่สุดของโลก คิดเป็นมากกว่า 80% ของผลผลิตทั่วโลก ตามการคาดการณ์ของรัฐบาลสหรัฐในปี 2563 สินค้าที่ต้องจ่ายภาษีศุลกากร อย่างไรก็ตาม เป็นเพียงแค่สัดส่วนที่ค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับการค้าทวิภาคีโดยรวม
“มาตรการดังกล่าวถือว่าเป็นมาตรการที่ไม่รุนแรงแล้ว อย่างน้อยก็เทียบเท่ากับการกระทำของสหรัฐ และถูกประเมินมาแล้วเพื่อเป็นการส่งข้อความไปที่สหรัฐ และ ผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ให้เกิดความเสียหายมากเกินไป” จูเลียน อีแวนส์-พริตชาร์ด หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์จีนของบริษัท Capital Economics ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน กล่าวเกี่ยวกับบันทึกการวิจัยในวันอังคารที่ผ่านมา
ภาษีของจีนมีเป้าหมายสูงสุดที่ 20,000 ล้านดอลลาร์จากการนำเข้าประจำปีของประเทศจากสหรัฐอเมริกา ประมาณ 12% ของยอดรวม ซึ่ง “ห่างไกล” มากเมื่อเทียบกับสินค้าจีนมูลค่ากว่า 450,000 ล้านดอลลาร์ที่สหรัฐ เล็งเป้าไว้ เขากล่าวเสริม
โดยรัฐบาลของจีนได้ออกมาโจมตีการกระทำ ที่ขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐ ในวันอาทิตย์ และให้คำมั่นสัญญาว่าจะ “ปกป้องสิทธิของตนอย่างแน่วแน่” โดยการยื่นเรื่องร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO) และดำเนินการตอบโต้ที่สาสมกับการกระทำของสหรัฐ
ในแถลงการณ์เมื่อวันอังคาร กระทรวงพาณิชย์ของจีนยืนยันว่าได้นำมาตรการภาษีของรัฐบาลทรัมป์เข้าสู่กลไกการระงับข้อพิพาทของ WTO แล้ว
“การปฏิบัติของสหรัฐ ทำลายระบบการค้าพหุภาคีที่อิงตามกฎเกณฑ์อย่างร้ายแรง ทำลายรากฐานความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา และ รบกวนเสถียรภาพของห่วงโซ่อุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก” กระทรวงพาณิชย์ของจีนกล่าว
ข้อตกลงอาจเกิดขึ้น
การขึ้นภาษีของสหรัฐ 10% นั้นยังห่างไกลจากที่ทรัมป์กล่าวไว้ในช่วงหาเสียง ที่กล่าวว่าจะขึ้นภาษีต่อจีน 60% เป็นสัญญาณว่า การขึ้นภาษีเพิ่มอาจเกิดขึ้นถ้าหากทั้งสองประเทศไม่สามารถทำเจรจาข้อตกลงได้
ทรัมป์ ในวันแรกของการเข้ารับตำแหน่งได้สั่งการ การทบทวนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐ และจีน ซึ่งมีกำหนดในวันที่ 1 เมษายน ผลลัพธ์ดังกล่าวสามารถเป็นพื้นฐานสำหรับการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้าจีนได้ สิ่งเหล่านี้อาจช่วยแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างสองประเทศได้ ในขณะที่ทรัมป์ได้ใช้การเก็บภาษี 10% กับการค้าเฟนทานิลโดยเฉพาะ
ประธานาธิบดีสหรัฐ ยังกล่าวอีกว่าเขาหวังว่าประเทศต่างๆ จะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าและทำงานร่วมกันในประเด็นต่างๆ รวมถึงการยุติสงครามในยูเครนด้วย นอกจากนี้ เขายังระงับการบังคับใช้กฎหมายที่กำหนดให้แบนแอปโซเชียลมีเดีย TikTok หากบริษัทแม่ในจีนไม่ขายธุรกิจในสหรัฐ
คาดว่าประเด็นเหล่านี้จะนำไปสู่การพิจารณาในการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศในอีกไม่กี่สัปดาห์หรือเดือนข้างหน้า
รัฐบาลจีนได้ส่งสัญญาณว่าไม่ต้องการสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น เหมือนกับสงครามการค้าครั้งก่อนที่เกิดขึ้นในการเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกของทรัมป์ ในช่วงเวลานั้น ทำเนียบขาวได้เรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนหลายร้อยพันล้านชิ้น โดยที่จีนก็ตอบโต้เช่นกัน
จีนได้ขยายเศรษฐกิจและคู่ค้าทางการค้านับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แต่เศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออกกำลังเผชิญกับการเติบโตที่ชะลอตัวและความท้าทายอื่นๆ
ที่มา: https://edition.cnn.com/2025/02/04/business/china-us-trade-retaliation-hnk-intl/index.html
ร่วมแสดงความคิดเห็น