ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยแผนการของเขาที่จะขายวีซ่า “บัตรทอง” ราคา 5 ล้านดอลลาร์ ที่จะให้ข้อเสนอสำหรับผู้ซื้อที่ร่ำรวยได้รับสถานะการอยู่อาศัยถาวร และสามารถนำไปสู่การได้รับสัญชาติได้
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกของการเป็นประธานาธิบดีสมัยนี้ของทรัมป์ ทรัมป์กล่าวกับนักข่าวว่า วีซ่าดังกล่าวจะทำงานเหมือนกับ “กรีนการ์ด” ซึ่งอนุญาตให้ผู้อพยพที่มีรายได้แตกต่างกันไปอาศัยอยู่และทำงานได้ตลอดไปได้ในสหรัฐ แต่ “บัตรทอง” จะจำหน่ายให้กับคนระดับสูง
“คนที่สามารถจ่ายเงิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐได้ พวกเขาจะสร้างงานให้กับประเทศได้ มันจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มันคือการเจรจาต่อรอง” ทรัมป์ กล่าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โฮเวิร์ด ลุตนิค ซึ่งอยู่ได้เข้าร่วมการประชุมด้วย กล่าวว่า วีซ่าบัตรทองจะมาแทนที่ โครงการวีซ่าสำหรับผู้ลงทุนต่างชาติในปัจจุบัน แต่มีข้อเสนอเพิ่มเติมนิดหน่อย
หลายประเทศทั่วโลก ให้สถานะพลเมืองด้วยโครงการการลทุน รวมถึงประเทศในยุโรป เช่น โปรตุเกส ซึ่งให้วีซ่าบัตรทอง หรือ การอยู่อาศัยถาวรแก่คนต่างชาติที่ลงทุน 524,000 ดอลลาร์แก่ กองทุนที่เข้าข่ายข้อกำหนดของรัฐบาล
ทรัมป์ กล่าวว่า บริษัทต่างๆ จะใช้โครงการวีซ่าบัตรทองเพื่อว่าจ้างผู้ที่ไม่มีสัญชาติอเมริกาเพื่อทำงานให้กับบริษัทในสหรัฐ
“เราจะต้องสามารถหาคนให้เข้ามาในประเทศได้ และเราต้องการคนที่มีประสิทธิภาพ” ทรัมป์ กล่าว
ปกติแล้วผู้ที่ถือ กรีนการ์ด ในสหรัฐสามารถขอสัญชาติได้เมือถือครบ 5 ปีขึ้นไป
ทรัมป์ กล่าวว่า รายได้จากวีซ่าราคาสูงนี้จะสามารถจ่ายหนี้ให้สหรัฐได้
ลุตนิค กล่าวว่าโครงการนี้จะมาแทนที่ วีซ่า EB-5 ซึ่งจะให้สถานะ การอยู่อาศัยถาวรแก่ชาวต่างชาติที่ลงทุนประมาณ 1 ล้านเหรียญ และสร้างงานประจำอย่างน้อย 10 งาน ในสหรัฐ
โดยกล่าวว่า วีซ่า EB-5 “มีการดู และ ดำเนินการที่ไม่ดี” โดยลุตนิค กล่าวว่า บัตรทองจะเป็นการพัฒนาปรับปรุง
“เราต้องแน่ใจว่าพวกเขาคือ พลเมืองโลกระดับโลกที่ยอดเยี่ยม” ลุตนิคกล่าวถึงผู้สมัครบัตรทองในอนาคต
ในตอนนี้ ยังไม่แน่ชัดว่ารัฐบาลจะมีวิธีการคัดเลือกผู้สมัครอย่างไร มีการยกเว้นหรือมีการกำหนดจำนวนที่ออกหรือไม่
ในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 กระทรวงการต่างประเทศออกวีซ่า EB-5 มากกว่า 12,000 ฉบับ ซึ่งถือเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับโครงการนี้
ร่วมแสดงความคิดเห็น