จีนกล่าวว่าพร้อมรับทุกสงครามกับสหรัฐ

ประเทศจีนได้กล่าวเตือนสหรัฐว่า พวกเขาพร้อมรับสงคราม “ทุกรูปแบบ” เป็นการโต้กลับการขึ้นภาษีของ โดนัลด์ ทรัมป์

ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ได้เริ่มเข้าใกล้กับสงครามการค้า หลังจากที่ทรัมป์เพิ่มภาษีศุลกากรต่อสินค้าทุกชนิดของจีน ประเทศจีนได้ทำการเพิ่มภาษี 10-15% ต่อสินค้าจากฟาร์มของสหรัฐเป็นการตอบโต้

“ถ้าสงครามเป็นสิ่งที่สหรัฐต้องการ ไม่ว่าจะสงครามภาษี สงครามการค้า หรือสงครามในรูปแบบอื่นๆ พวกเราพร้อมที่จะสู้จนถึงที่สุด” สถานทูตจีน กล่าวในแอปพลิเคชัน X โพสต์ โดยยกข้อความมาจากแถลงการณ์ของรัฐบาลเมื่อวันอังคาร

เป็นวาทศิลป์ที่แข็งกร้าวจากประเทศจีนล่าสุด หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดี และ เกิดขึ้นระหว่างการรวมตัวกันของบรรดาผู้นำในกรุงปักกิ่งเพื่อเข้าร่วมการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติประจำปี

ในวันพุธ นายกรัฐมนตรีจีน หลี่ เชียง ได้ประกาศว่าจีนจะเพิ่มงบประมาณทางการทหารอีกครั้งเป็น 7.2% ในปีนี้ และ เตือนว่า “การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้เห็นมาหนึ่งทศวรรษ นั้นถูกเปิดผนึกไปทั่วทั้งโลกด้วยความเร็วที่มากขึ้น” ความเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้นในครั้งนี้เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ และตรงกับตัวเลขที่ประกาศเมื่อปีที่แล้ว

ผู้นำในปักกิ่ง กำลังพยายามจะส่งสัญญาณสู่ประชาชนชาวจีน ว่าพวกเขามีความมั่นใจว่าเศรษฐกิจของประเทศจะโตได้ แม้ว่าจะมีอันตรายจากสงครามการค้า

ประเทศจีนความต้องการที่จะเป็นประเทศที่มีภาพลักษณ์ของความมั่นคง เป็นประเทศที่สงบสุข เป็นขั้วตรงข้ามกับสหรัฐ ซึ่งประเทศจีนถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สร้างความวุ่นวายในสงครามต่างๆใน ตะวันออกกลาง และ ยูเครน

จีนยังอาจหวังที่จะใช้ประโยชน์จากการกระทำของทรัมป์ต่อพันธมิตรของเขา แคนาดา และ เม็กซิโก อีกด้วย ซึ่งได้รับผลกระทบการจากการขึ้นภาษีเช่นกัน และไม่อยากจะเพิ่มระดับความเผ็ดร้อนของวาทศิลป์จนมากเกินไป จนทำให้พันธมิตรระดับโลกที่อาจจะสามารถร่วมมือกันได้หวาดกลัวไปซะก่อน

ประเทศจีนในอดีต ได้เน้นย้ำว่า พวกเขาพร้อมที่จะเข้าสู่สงคราม ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดี สี ได้ออกคำสั่งให้กองทัพของเขาเพิ่มการเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม โดยพวกเขาได้มีการฝึกซ้อมทางทหารรอบๆ เกาะปกครองตนเองของไต้หวัน แต่การเตรียมพร้อมทางทหารกับความพร้อมในการทำสงครามนั้นมีความแตกต่างกัน

สถานทูตจีนในวอชิงตันอ้างแถลงการณ์ของกระทรวงต่างประเทศเป็นภาษาอังกฤษจากวันก่อน โดยประณามสหรัฐ เนื่องจากสหรัฐกล่าวหาว่าประเทศจีนเป็นตัวการ ในการหลั่งไหลเข้ามาของยาเฟนทานิล

“เรื่องของเฟนทานิล นั้นเป็นข้อแก้ตัวที่ไร้สาระเพื่อที่จะเพิ่มภาษีของสหรัฐต่อสินค้าของจีน” โฆษกกระทรวงต่างประเทศกล่าว

“คำขู่เหล่านั้นไม่ได้ทำให้เรากลัว การกลั่นแกล้งเรานั้นไม่ได้ผล การกดดัน บังคับ หรือ คุกคาม ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องในการจัดการกับประเทศจีน” เขากล่าวเสริม

ความสัมพันธ์ของสหรัฐ และ จีน เป็นหนึ่งในความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกันมากที่สุดในโลก โพสต์ดังกล่าวใน แอปพลิเคชัน X ถูกแชร์ออกไปมากมาย และสามารถถูกใช้โดยผู้ที่ต่อต้านประเทศจีนในคณะรัฐมนตรีของทรัมป์เป็นหลักฐานว่า จีนคือภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐ ต่อนโยบายต่างประเทศและทางเศรษฐกิจ  

เจ้าหน้าที่ของจีนได้มีความหวังว่าความสัมพันธ์ของ สหรัฐ และ จีน ภายใต้การบริหารงานของทรัมป์จะเริ่มเป็นมิตรมากขึ้น ด้วยการเชื้อเชิญให้ สี จิ้นผิง เข้าร่วมงานการเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ ทรัมป์กล่าวว่า ผู้นำของทั้งสองประเทศได้มีการพูดคุยทางโทรศัพท์ที่ดี ไม่กี่วันก่อนที่เข้าจะเข้ารับตำแหน่ง

มีการรายงานว่าผู้นำทั้งสองประเทศมีกำหนดการโทรคุยกันอีกครั้งในเดือนที่แล้ว แต่ก็ไม่เกิดขึ้น

ประธานาธิบดี สี กำลังต่อสู้อย่างต่อเนื่องกับ อัตราการบริโภคที่ต่ำ, วิกฤตอสังหาฯ และ อัตราการว่างงาน

ประเทศจีนได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะอัดฉีดเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้เข้าสู่เศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่ และ ผู้นำต่างๆในประเทศได้เปิดเผยแผนการ ขณะที่เข้าร่วมการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติของผู้แทนนับพันคนในรัฐสภาที่ประทับตรา ซึ่งผ่านการตัดสินใจไปแล้ว อย่างเป็นความลับ

จีนมีงบประมาณด้านการทหารสูงเป็นอันดับสองของโลกที่ 245,000 ล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังเล็กกว่าของสหรัฐอเมริกามาก จีนใช้งบประมาณ 1.6% ของ GDP ไปกับกองทัพ น้อยกว่าสหรัฐอเมริกาหรือรัสเซียมาก ตามรายงานของสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เชื่อว่าจีนจะลดความสำคัญของการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศลง

ที่มา:  https://www.bbc.com/news/articles/c4gmd3g2nzqo

ร่วมแสดงความคิดเห็น