ลุงวัย 62 ฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 ได้ 7 วัน เกิดอาการอ่อนแรง จนแขนขาลีบ ถึงขั้นพิการติดเตียง อัพเดทข่าวสารเรื่องโควิด รู้วิธีป้องกันโรคก่อนติดเชื้อ
หากว่าใครที่ติดตามข่าวสารการฉีดวัคซีน ท่านอาจจะได้ยินข่าวล่าสุดของลุงวัย 62 ฉีดวัคซีนผ่าน 7 วันกลายเป็นคนพิการติดเตียง ต้องบอกเลยว่าจากกรณีที่ นายสันติ เนขุนทด อายุ 62 ปี อยู่บ้านหมู่ 8 ต.สระจรเข้ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ได้ทำการเข้าฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มที่ 2 แล้วเกิดอาการแขนขาอ่อนแรงและลีบ เดินไม่ได้ กลายเป็นคนไขัติดเตียง ซึ่งเรื่องราวที่ก่อนจะเกิดเรื่องได้มีทาง รพ.สต.สระจรเข้ มีหนังสือแจ้งให้ไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มที่ 1 วันที่ 21 ตุลาคม 2564 ทางด้านของ นายสันติ เนขุนทด ได้ไปวัคซีนซิโนแวคที่โรงพยาบาลหลวงพ่อคูณปริสฺโธ และก็ได้รับใบนัดให้ไปฉีดเข็มที่ 2 ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งการไปครั้งนี้ได้รับวัคซีนแอสตร้าเซเนกา และหลังจากนั้นเวลาผ่านไปได้ประมาณ 7 วัน นายสันติ เนขุนทด ก็เริ่มที่มีอาการเท้าชา มือชา ปวดเอว นายสันติ เนขุนทด จึงไปพบแพทย์ที่ รพ.ด่านขุนทด เมื่อแพทย์ดำเนินการรักษาและเอกซเรย์ ก็ได้บอกว่าคนไข้มีปัญหาเรื่องกระดูกสันหลังท่อนที่ 45 และน้ำหล่อเลี้ยงห้วข้อเข่าน้อย แพทย์รับเป็นคนไข้ในนอนรักษาตามอาการ และในวันที่ 1 ธันวาคม 2564 ทางด้านคุณหมอก็ได้ตรวจพบว่ามีภาวะไตวาย คุณหมอจึงได้ทำใบส่งตัวเพื่อไปรักษาที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เกี่ยวกับโรคกระดูก แต่ทางด้านของนายสันติ เนขุนทด ก็ไม่ได้ไปตามที่สั่งเนื่องจากมีปัญหาเรื่องเงินและการเดินทาง
จึงทำให้ในเวลาต่อมาไม่นานนิ้วมือเริ่มหงิกงอ ขาทั้งสองข้างค่อยๆลีบลงจนกระทั่งเดินไม่ได้ กลายเป็นคนพิการติดเตียง ซึ่งจาการตรวจสอบประวัติการรักษาพยาบาลของนายสันติ ที่ รพ.ด่านขุนทด ทราบว่านายสันติเคยให้ข้อมูลการรักษากับโรงพยาบาลว่า เคยปวดหลังและปวดเอวมาก่อนที่จะฉีดวัคซีน 3 เดือน ซึ่งอาจจะเกิดจากการนั่งขับรถเป็นเวลานานๆ และการกระแทกของรถ ทำให้กระดูกสันหลังท่อนที่ 45 เคลื่อนมาทับเส้นประสาท ทำให้แขนขาอ่อนแรงดังกล่าว ไม่น่าจะเกิดจากการฉีดวัคซีนแต่อย่างใด อ่านต่อ
กลัวโควิดอยากฉีดวัคซีนโควิดเข็ม 5
สำหรับใครที่ได้มีการฉีดวัคซีนกันไปถึง 4 เข็มมาแล้ว จะให้เข็มต่อไปขอให้พิจารณาถ้าร่างกายแข็งแรงปกติดี อายุน้อยกว่า 60 ปี ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้เพิ่มอีกถึงแม้ว่าจะติดโรค ความรุนแรงของโรคก็จะน้อยมากซึ่งการจะให้ต่อไปในเข็มที่ 5 เราจะคำนึงในการให้ดังนี้
1.สำหรับบุคลลที่ร่างกายเปราะบางและอ่อนแอมากๆ โดยส่วนมากแล้วจะอยุ่ในกลุ่มของผู้สูงอายุ และมีโรคเรื้อรัง อย่างเช่น โรคไตวายเรื้อรัง โรคมะเร็ง โรคทางปอดและหัวใจ และยังไปถึงโรคสมอง หรือแม้กระทั้งผู้ป่วยติดเตียงทางที่ดีควรที่จะได้รับวัคซีนต่อไป เพราะว่าถ้าให้วัคซีนเข็มที่ 4 มานานแล้วเกิน 6 เดือนก็สามารถกระตุ้นเข็มต่อไปได้
2.สำหรับวัคซีนเข็มที่ 5 อันนี้ก็ต้องบอกเลยว่าจะต้องพิจารณาสภาวะร่างกายของแต่ละบุคคล ว่าแข็งแรงดีหรือไม่ เพราะว่าถ้าร่างกายอ่อนแอมากๆควรจะมีการกระตุ้น
3.สำหรับท่านใดที่ได้มีการรับวัคซีนมาแล้ว 3-4 เข็ม หรืออาจจะมากกว่า แล้วท่านเกิดการติดเชื้อ ซึ่งการติดเชื้อนั้นถือว่าเป็นการฉีดวัคซีนอีก 1 เข็มโดยธรรมชาติ ฉะนั้นแล้วผู้ที่ติดเชื้อแล้ว ก็จะภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นเป็นภูมิต้านทานแบบลูกผสมที่มีประสิทธิภาพสูง
(H3) ผู้ที่ติดเชื้อแล้ว จะฉีดวัคซีน ควรปฏิบัติตัวอย่างไร
1. สำหรับใครที่ไม่เคยฉีดวัคซีนมาเลยแล้วดันเกิดการติดเชื้อ แนะนำเลยว่าจะต้องฉีดวัคซีนต่อไป ซึ่งโดยเข็มแรกนั้นควรที่จะห่างจากการติดเชื้อประมาณ 2-3 เดือน และหลังจากนั้นก็ฉีดเข็มที่ 2 ห่างจากการติดเชื้อ 6-12 เดือน ท่านก็จะได้ภูมิคุ้มกันที่สมบูรณ์
2. สำหรับท่านใดที่ฉีดวัคซีนมาแล้ว 1 เข็มแล้วติดเชื้อให้ฉีดวัคซีนเข็มต่อไป โดยจะต้องห่างจากการติดเชื้อประมาณ 3 ถึง 6 เดือน ถือว่าได้รับ 3 เข็ม ซึ่งการติดเชื้อนั้นถือว่าเป็นการฉีดวัคซีนอีก 1 เข็มโดยธรรมชาติ ให้นับรวมการติดเชื้อเป็นการฉีดโดยธรรมชาติ 1 เข็ม และถ้าจะฉีดเข็มต่อไปก็ควรห่างอย่างน้อยอีก 4-6 เดือน ซึ่งหลักการยิ่งห่างยิ่งดีเป็นดีที่สุด
3.สำหรับท่านใดที่ได้วัคซีนมาแล้ว 3-4 เข็ม หรืออาจจะมากกว่า แล้วเกิดการติดเชื้อ การติดเชื้อนั้นถือว่าเป็นการฉีดวัคซีนอีก 1 เข็มโดยธรรมชาติ ดังนั้นผู้ที่ติดเชื้อแล้วภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นเป็นภูมิต้านทานแบบลูกผสมที่มีประสิทธิภาพสูง อันนี้ท่านไม่ต้องกังวลไปแต่อย่างใด
สวมใส่ หน้ากากอนามัย อย่างถูกวิธี
แน่นอนว่าการป้องกันตัวเองเบื้องต้น สิ่งแรกที่เราทำได้นั้นก็คือการสวมใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งเรื่องนี้ทางด้านของ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ก็ได้ออกมาระบุถึงการใส่หน้ากากอนามัย ว่ามีการตั้งคำถามว่า เราจะใส่หน้ากากอนามัยไปนานแค่ไหน ขอช่วยกันตัดสินใจเอง ในยามปกติหน้ากากอนามัยจะมีไว้สำหรับให้ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจเป็นผู้ใส่ เพื่อป้องกันการกระจายของโรค คนปกติไม่มีความจำเป็นต้องใส่ ทุกคนต้องมีความรับผิดชอบ ถ้ารู้ว่าป่วยควรจะใส่ และมีระเบียบวินัย ก่อนอื่นก็ต้องบอกเลยว่าการใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคโควิดนั้นถ้าใส่ไม่ถูกวิธี หรือไม่ดูแลเรื่องสุขอนามัย ประสิทธิภาพในการป้องกันก็จะลดน้อยลงอย่างมากๆ มีการศึกษามาสนับสนุนชัดเจน เช่น ใส่ไม่ถูกวิธี การจับต้องหน้ากากอนามัยหลังใส่แล้วโดยไม่ได้ล้างมือ มีการศึกษาว่าในแต่ละชั่วโมงจะมีการจับหน้ากากอนามัยเป็นจำนวนมากหลายครั้ง ทำให้ประสิทธิภาพลดลงอย่างมากเนื่องจากมีการปนเปื้อน

ร่วมแสดงความคิดเห็น