23 อุตสาหกรรมไทยทรุดหนักดิ่งสุดรอบ 7 เดือนของปีนี้ 

ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคมของปีนี้อยู่ที่ระดับ 88.5 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 90.3 ในเดือนเมษายน โดยพิจารณาจากองค์ประกอบที่ทำให้ดัชนีร่วงลงมาเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน พบว่ามีการปรับตัวลงในทุกองค์ประกอบ รวมถึงยอดขาย ยอดคำสั่งซื้อ ปริมาณการผลิต ต้นทุนการประกอบการ และผลประกอบการ ซึ่งถือเป็นดัชนีต่ำที่สุดในรอบ 5 เดือนหรือในรอบปี  

ปัจจัยหลักมาจากอุปสงค์ (Demand) และกำลังซื้อในประเทศที่ยังคงเปราะบาง เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และสัดส่วนหนี้เสีย (Non-Performing Loans หรือ NPLs) ที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้การบริโภคชะลอตัว 

ภาพรวมของอุตสาหกรรม 

ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคมปีนี้อยู่ที่ระดับ 88.5 ซึ่งปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ 90.3 ในเดือนเมษายน โดยการลดลงนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน สะท้อนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกองค์ประกอบ ได้แก่ ยอดขาย ยอดคำสั่งซื้อ ปริมาณการผลิต ต้นทุนการประกอบการ และผลประกอบการ ทั้งหมดนี้ถือเป็นดัชนีต่ำที่สุดในรอบ 5 เดือนหรือในรอบปี ปัจจัยหลักที่ทำให้ดัชนีลดลงอย่างต่อเนื่องได้แก่ อุปสงค์และกำลังซื้อในประเทศที่ยังคงเปราะบาง เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และสัดส่วนหนี้เสีย (Non-Performing Loans หรือ NPLs) ที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้การบริโภคชะลอตัว 

ปัจจุบันภายใต้สภาอุตสาหกรรมมีการพูดถึงประมาณ 50 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยพบว่า 23 กลุ่มอุตสาหกรรมกำลังอยู่ในภาวะอ่อนแออย่างมาก รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คุณนาวา จันทนสุรคน ได้กล่าวว่า ขณะนี้ภาคอุตสาหกรรมกำลังอยู่ในช่วงที่ต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐและการปรับปรุงโครงสร้างเพื่อให้สามารถกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง การช่วยเหลือจากภาครัฐควรครอบคลุมถึงมาตรการต่างๆ เช่น การสนับสนุนทางการเงิน โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี (SMEs) ที่มีความเสี่ยงสูงในการดำเนินธุรกิจ การลดภาระต้นทุนการผลิต การส่งเสริมการตลาดและการส่งออก รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ 

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมอ่อนแอคือการทุ่มตลาดของสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าจากประเทศจีนที่มีราคาถูก ส่งผลให้สินค้าภายในประเทศไม่สามารถแข่งขันได้ นอกจากนี้ สถาบันการเงินยังมีการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ทำให้ผู้ประกอบการบางรายต้องเผชิญกับความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจ การประสานงานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเรื่องของการสนับสนุนทางการเงิน การลดภาระต้นทุนการผลิต และการส่งเสริมการตลาดและการส่งออก ความร่วมมือและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนจะเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูและสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว 

ปัญหาที่พบในปีนี้ 

จากการสำรวจพบว่าจำนวนโรงงานที่ปิดกิจการในต้นปีนี้มีถึง 567 แห่ง ทำให้คนงานตกงานมากกว่า 15,000 คน โดยเฉลี่ยแล้วมีการปิดกิจการโรงงานเดือนละ 113 แห่ง ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วที่มีเฉลี่ยเดือนละ 111 แห่ง และเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจาก 2-3 ปีก่อน การปิดกิจการของโรงงานเป็นสัญญาณที่น่ากังวล เนื่องจากเป็นการสะท้อนถึงปัญหาทางเศรษฐกิจและสภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจที่ยากลำบากมากขึ้น การที่จำนวนโรงงานปิดกิจการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแสดงถึงความเปราะบางในตลาดแรงงานและความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจภายในประเทศที่ลดลง 

แม้ว่าจะมีโรงงานใหม่เปิดขึ้นเรื่อยๆ แต่จำนวนโรงงานใหม่ที่เปิดก็ไม่มากพอที่จะชดเชยกับโรงงานที่ปิดไป อดีตมีการเปิดโรงงานใหม่ 7-8 แห่งเมื่อปิดโรงงาน 2 แห่ง แต่ปัจจุบันมีการเปิดโรงงานใหม่เพียง 3 แห่งเมื่อปิดโรงงาน 2 แห่ง การที่จำนวนโรงงานใหม่ลดลงเช่นนี้เป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว การลดลงของโรงงานใหม่หมายความว่าการลงทุนใหม่ๆ มีน้อยลง ซึ่งส่งผลให้ตลาดแรงงานมีโอกาสจ้างงานใหม่ๆ ลดลง และอาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจช้าลง 

สถานการณ์ดังกล่าวยังสะท้อนถึงความท้าทายที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญในการเริ่มต้นและดำเนินธุรกิจในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูงและมีข้อจำกัดด้านต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น การที่ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกันในการสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนใหม่ๆ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินธุรกิจในระยะยาว นอกจากนี้ การให้การสนับสนุนทางการเงิน การลดต้นทุนการผลิต และการส่งเสริมการตลาดและการส่งออกจะเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคอุตสาหกรรมไทย 

ปัจจัยเสี่ยงและการแก้ไข 

จากการสำรวจพบว่าปัจจัยหลายประการได้ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมลดลงต่ำสุดในรอบ 7 เดือน ปัจจัยเหล่านี้ประกอบด้วย: 

1. การทุ่มตลาดของสินค้าจีนราคาถูก: สินค้าจีนที่มีราคาถูกได้เข้ามาแย่งส่วนแบ่งการขายในประเทศ ทำให้หลายอุตสาหกรรมไม่สามารถสู้ราคาได้ การทุ่มตลาดของสินค้าจากประเทศจีนทำให้ผู้ผลิตในประเทศต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงและทำให้กำไรลดลง ผู้ประกอบการในหลายอุตสาหกรรมจึงต้องปรับลดราคาสินค้าเพื่อต่อสู้กับสินค้าจีน ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจของพวกเขายากลำบากมากขึ้น 

2. ต้นทุนการผลิตที่สูง: ต้นทุนการผลิตที่สูง โดยเฉพาะในด้านพลังงานและวัตถุดิบ เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนและการลดลงของกำไร การที่ต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบเพิ่มสูงขึ้นทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ต้องปรับราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

3. สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ: สถาบันการเงินมีการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและลดวงเงินสำหรับผู้ประกอบการ ส่งผลให้ผู้ประกอบการบางรายขาดแคลนเงินทุนในการดำเนินธุรกิจ การที่ธนาคารและสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อทำให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับความยากลำบากในการหาแหล่งเงินทุน ส่งผลให้ไม่สามารถขยายธุรกิจหรือปรับปรุงกระบวนการผลิตได้ตามที่ต้องการ 

4. สถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่แน่นอน: ความไม่แน่นอนในสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศทำให้ผู้ประกอบการต้องระมัดระวังในการลงทุนและการดำเนินธุรกิจ การที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย และผู้ประกอบการต้องปรับลดการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว 

แนวทางการช่วยเหลือ 

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้เสนอแนวทางการช่วยเหลือแก่ภาครัฐ รวมถึงการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด มาตรการอุดหนุน และมาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับประเทศอเมริกาและยุโรป นอกจากนี้ยังเน้นให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะด้านพลังงานและการเข้าถึงเงินทุน การลดต้นทุนการผลิตเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย การสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือกและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานสามารถช่วยลดภาระต้นทุนของผู้ประกอบการได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เป็นธรรมและสะดวกยังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถลงทุนในการพัฒนาธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง 

ภาครัฐเริ่มมีการดำเนินการช่วยเหลือผ่านธนาคารออมสินที่ออกสินเชื่อให้กับอุตสาหกรรมเอสเอ็มอี (SMEs) และการให้การันตีจากหน่วยงาน บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ซึ่งคาดว่าครึ่งปีหลังสถานการณ์น่าจะคลี่คลายขึ้น ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและหน่วยงานการเงินนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการสนับสนุนและฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมไทย การให้สินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำและการรับประกันสินเชื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ นอกจากนี้ การให้การันตีจาก บสย. ยังช่วยสร้างความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมมีโอกาสฟื้นตัวได้เร็วขึ้น 

ผลกระทบที่จะส่งผลต่อจังหวัดเชียงใหม่ เมืองเศรษฐกิจในภาคเหนือ 

จากการที่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมลดลงอย่างต่อเนื่องและจำนวนโรงงานปิดกิจการเพิ่มขึ้น จะมีผลกระทบต่อจังหวัดเชียงใหม่อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเชียงใหม่เป็นหนึ่งในเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคเหนือ ผลกระทบเหล่านี้ประกอบด้วย: 

1. การลดลงของการจ้างงาน: เมื่อโรงงานในจังหวัดเชียงใหม่ปิดกิจการ จะทำให้เกิดการว่างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อแรงงานในท้องถิ่นและครอบครัวของพวกเขา ความยากลำบากในการหางานใหม่จะทำให้เกิดภาวะการว่างงานที่สูงขึ้นและการลดลงของกำลังซื้อในท้องถิ่น 

2. ผลกระทบต่อธุรกิจท้องถิ่น: การที่โรงงานปิดตัวและการลดลงของการผลิตจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่น เช่น ธุรกิจขนส่ง การจัดจำหน่าย และบริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจในท้องถิ่นหดตัวและธุรกิจต่างๆ ต้องปรับตัวเพื่อลดต้นทุนและการลงทุน 

3. การลดลงของการลงทุนใหม่: การที่สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อและการลดลงของความเชื่อมั่นในการลงทุนจะทำให้การลงทุนใหม่ในจังหวัดเชียงใหม่ลดลง การขาดแคลนเงินทุนในการขยายธุรกิจและการลงทุนในโครงการใหม่ๆ จะส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจชะลอตัวลง 

4. ผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและบริการ: เชียงใหม่เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ การลดลงของการจ้างงานและกำลังซื้อจะส่งผลให้การใช้จ่ายในการท่องเที่ยวและบริการลดลง ทำให้ธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ประสบปัญหายอดขายลดลงและต้องปรับลดพนักงาน 

5. การเพิ่มขึ้นของปัญหาสังคม: การว่างงานและการลดลงของรายได้ในครัวเรือนอาจนำไปสู่ปัญหาสังคมเพิ่มขึ้น เช่น ปัญหาหนี้สินครัวเรือน การขาดแคลนที่อยู่อาศัย และปัญหาด้านสุขภาพจิต ซึ่งภาครัฐและองค์กรสังคมต้องให้ความสำคัญในการแก้ไขและสนับสนุนการฟื้นฟูสภาพชีวิตของประชาชน 

เพื่อรับมือกับผลกระทบเหล่านี้ จำเป็นต้องมีการวางแผนและดำเนินการเชิงรุกจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของเชียงใหม่ การสนับสนุนทางการเงิน การส่งเสริมการลงทุน และการพัฒนาทักษะแรงงานเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว 

สรุป 

การที่ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และต่ำสุดในรอบ 7 เดือน สะท้อนถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ การทุ่มตลาดจากสินค้าจีนและต้นทุนการผลิตที่สูงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลายอุตสาหกรรมต้องเผชิญกับภาวะวิกฤต ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเร่งดำเนินการแก้ไขและให้การช่วยเหลือเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง 

เรียบเรียงโดย : บ่าวหัวเสือ 

ร่วมแสดงความคิดเห็น