เมื่อวันที่ 17 ก.ค.2566 ที่สถานีตำรวจภูธรแม่ริม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ นายบุญญฤทธิ์ นิปวณิชย์ หัวหน้าศูนย์บริหารการทะเบียนภาค 5 สาขาจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะประธานสหพันธ์ปลัดอำเภอแห่งประเทศไทย( ส.ปอ.ท.) พานายส่วย (นามสมมติ) อายุ 40 ปี เชื้อสายไทยใหญ่ ซึ่งถือบัตรประจำตัวผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร พร้อมหลักฐานเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับนางสาวนก (นามสมมติ) อายุประมาณ 50 ปี ที่อ้างตัวว่าเป็นปลัดอำเภอ สามารถช่วยดำเนินการให้ได้สัญชาติไทยและบัตรประจำตัวประชาชนไทย ซึ่งนายส่วย(นามสมมติ) หลงเชื่อและจ่ายเงินไปให้นางสาวนก(นามสมมติ) หลายครั้งตั้งแต่ปี 2564 ทั้งเงินสดและโอนผ่านบัญชีธนาคารรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 94,000 บาท แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่ได้รับสัญชาติไทยและบัตรประจำตัวประชาชนไทย โดยได้ทวงถามแล้วหลายครั้ง แต่กลับถูกบ่ายเบี่ยงและข่มขู่ กระทั่งรู้ตัวว่าถูกหลอก จึงนำเรื่องเข้าขอรับคำปรึกษาและขอความช่วยเหลือจาก นายบุญฤทธิ์

ทั้งนี้หัวหน้าศูนย์บริหารการทะเบียนภาค 5 สาขาจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะประธานสหพันธ์ปลัดอำเภอแห่งประเทศไทย( ส.ปอ.ท.) เปิดเผยว่า กรณีนี้ผู้เสียหายเป็นบุคคลผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร ที่อยากได้สัญชาติไทยและบัตรประชาชนไทย ซึ่งมิจฉาชีพรู้จุดอ่อนข้อนี้ดี จึงฉวยโอกาสสร้างความน่าเชื่อถือและหลอกลวงเงินจากผู้เสียหาย โดยเบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแม่ริม ได้รับแจ้งความแล้ว พร้อมดำเนินการสอบสวนสืบสวนติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ขณะที่ผู้เสียหายรายอื่นๆ จะทยอยเข้าแจ้งความต่อไป สำหรับการกระทำผิดลักษณะนี้ถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศชาติ ซึ่งจะต้องกวาดล้างปราบปรามให้ถึงที่สุด

ด้านนายส่วย (นามสมมติ) ผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตัวเองมีอาชีพหลักรับจ้างทั่วไป แต่มีความสามารถในการเล่นเครื่องดนตรีพื้นเมืองและร้องเพลงซอไทยใหญ่ ซึ่งบางครั้งจะได้รับการว่าจ้างให้ไปเล่นตามงานต่าง ๆ เมื่อช่วงปี 2564 รู้จักกับนางสาวนก(นามสมมติ) จากการเข้าร่วมทำงานเครือข่ายจิตอาสา โดยนางสาวนก(นามสมมติ) อ้างตัวว่าเป็นปลัดอำเภอ สามารถช่วยดำเนินการให้ได้สัญชาติไทยและบัตรประจำตัวประชาชนไทย ทำให้ตัวเองและคนรู้จักอีกหลายคนเกิดหลงเชื่อ ซึ่งครั้งแรกนัดจ่ายเงินสดคนละ 15,000 บาทเป็นค่ามัดจำให้กับนางสาวนก(นามสมมติ) ที่ศูนย์การเรียนรู้แพทย์พื้นบ้านแห่งหนึ่ง ในตำบลสะลวง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
ขณะที่หลังจากนั้นยังได้โอนเงินจ่ายให้อีกหลายครั้ง แต่ก็ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จสักทีทั้งที่ผ่านมานานเป็นปีแล้ว เมื่อทวงถามก็ถูกบ่ายเบี่ยงและข่มขู่ว่าจะเล่นงานไม่ให้สามารถอยู่ในแผ่นดินประเทศไทย จนต้องขอความช่วยเหลือจากนายบุญญฤทธิ์ และเข้าแจ้งความในครั้งนี้ ยืนยันจะดำเนินคดีจนถึงที่สุดเพื่อไม่ให้ผู้ก่อเหตุรายนี้ไปหลอกลวงผู้อื่นได้อีก พร้อมกันนี้ตัวเองอยากเตือนภัยไปถึงผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎรเหมือนตัวเอง และบุคคลต่างด้าว ว่าอย่าหลงเชื่อเป็นอันขาดหากมีผู้ใดก็ตามมาสร้างความน่าเชื่อและแอบอ้างว่าสามารถช่วยดำเนินการให้ได้สัญชาติและบัตรประชาชนไทย เพราะไม่เป็นความจริง จะได้ไม่ตกเป็นผู้เสียหายเหมือนตัวเอง
มีรายงานข่าวแจ้งว่าภายหลังการเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนแล้ว นายส่วย(นามสมมติ) ผู้เสียหาย ได้ฝากเตือนภัยเป็นภาษาไทยใหญ่ ถึงผู้ถือบัตรประจำตัวผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎร เหมือนตัวเอง โดยเน้นย้ำไม่ให้หลงเชื่ออย่างเด็ดขาดหากมีผู้ใดก็ตามมาแอบอ้างคนใหญ่คนโตสร้างความน่าเชื่อถือว่าสามารถช่วยดำเนินการให้ได้สัญชาติและบัตรประชาชนไทย ไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะต้องตกเป็นผู้เสียหายเหมือนตัวเองที่ต้องสูญเสียเงินไปจำนวนมากและได้รับความเดือดร้อน.



ร่วมแสดงความคิดเห็น