ในช่วงปลายรัชกาลที่ 5 การเปลี่ยนแปลงทางการปกครองและระบบภาษีของกรุงเทพฯ ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อหัวเมืองล้านนา โดยเฉพาะนครเชียงใหม่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของดินแดนภาคเหนือมายาวนาน เมื่อระบบจัดเก็บภาษีใหม่เข้มงวดขึ้นและกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ความไม่พอใจของราษฎรและเจ้านายฝ่ายเหนือก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น จนนำไปสู่การต่อต้านที่รู้จักกันในประวัติศาสตร์ว่า “กบฏพระยาปราบสงคราม” หรือ “กบฏชาวนาเชียงใหม่ พ.ศ. 2432”
ปฏิรูปภาษีและแรงกดดันจากส่วนกลาง
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าโสณบัณฑิต ข้าหลวงพิเศษจากกรุงเทพฯ ได้ดำเนินนโยบายปฏิรูปการปกครองและภาษีในเขตหัวเมืองลาวเฉียง (ล้านนา) ซึ่งรวมถึงเชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง ระบบเจ้าภาษีนายอากรที่เคยให้เอกชนรับสัมปทานเก็บภาษีถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นการเก็บโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยตรง ทำให้เจ้านายพื้นเมืองสูญเสียผลประโยชน์ นอกจากนี้ยังมีการยกเลิกสิทธิพิเศษด้านภาษีที่ดินของเจ้านายฝ่ายเหนือ ทำให้พวกเขาได้รับผลกระทบโดยตรง
นโยบายใหม่นี้ไม่เพียงสร้างความเดือดร้อนแก่ชนชั้นนำล้านนาเท่านั้น แต่ยังส่งผลร้ายต่อราษฎรทั่วไป โดยเฉพาะชาวนาและเกษตรกร ระบบภาษีพืชผลที่เคยเก็บจากผลผลิต ถูกเปลี่ยนเป็นการเก็บจากจำนวนต้นไม้ เช่น มะพร้าว หมาก และพลู ทำให้ประชาชนต้องจ่ายภาษีมากขึ้นโดยไม่คำนึงว่าต้นไม้จะออกผลหรือไม่ ส่งผลให้เจ้าภาษีนายอากรต้องเพิ่มความเข้มงวดในการเรียกเก็บ บางพื้นที่ถึงขั้นใช้มาตรการรุนแรง เช่น การจับกุม กักขัง และเฆี่ยนตีผู้ที่ไม่สามารถชำระภาษีได้
การลุกฮือของพระยาปราบสงคราม
ภายใต้แรงกดดันจากมาตรการภาษีที่โหดร้าย พระยาปราบสงคราม (เดชะ) หรือที่ชาวบ้านเรียกขานว่า “พญาผาบ” อดีตแม่ทัพเมืองเชียงใหม่ ผู้เคยนำทัพต่อต้านกองกำลังไทยใหญ่ในรัฐฉาน ได้กลายเป็นผู้นำการต่อต้านรัฐบาลสยาม
จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเจ้าภาษีนายอากรในแขวงจ๊อม (ปัจจุบันคือ ตำบลหนองจ๊อม อำเภอสันทราย เชียงใหม่) ได้จับกุมราษฎร 4 คน และกักขังไว้เนื่องจากไม่มีเงินจ่ายภาษี พระยาปราบสงครามไม่อาจทนเห็นความเดือดร้อนของประชาชน จึงส่งคนประมาณ 30 นายไปปล่อยตัวราษฎร และขับไล่เจ้าภาษีนายอากรออกจากพื้นที่ การกระทำนี้ส่งผลให้เจ้าภาษีนายอากรโกรธแค้นและขู่ว่าจะนำกองทหารมาปราบปราม
เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นชนวนให้ราษฎรและผู้นำท้องถิ่นจำนวนมากเข้าร่วมกับพระยาปราบสงคราม กองกำลังกบฏมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 2,000 คน โดยมีการจัดเตรียมอาวุธ เสบียงอาหาร และตั้งมั่นที่ วัดฟ้ามุ่ย ซึ่งเป็นจุดรวมพลสำคัญ ครูบานาระต๊ะ เจ้าอาวาสวัดฟ้ามุ่ย ได้ประกอบพิธีปลุกเสกน้ำมันให้ผู้เข้าร่วมกบฏใช้ทาร่างกายเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ
เป้าหมายและยุทธศาสตร์ของกบฏ
ในตอนแรก กองกำลังของพระยาปราบสงครามมีเป้าหมายเพียงปกป้องราษฎรจากการกดขี่ของเจ้าภาษีนายอากรและป้องกันการถูกปราบปรามจากทางการ แต่เมื่อสถานการณ์ตึงเครียดขึ้น เป้าหมายของกบฏก็ขยายไปสู่การโจมตีตัวแทนของกรุงเทพฯ รวมถึงข้าราชการไทยและพ่อค้าชาวจีน ซึ่งถูกมองว่าเป็นเครื่องมือของอำนาจส่วนกลาง
พระยาปราบสงครามสั่งการให้กองกำลังของตนเข้าโจมตีบ้านเรือนของพ่อค้าชาวจีนและข้าราชการไทยริมฝั่งแม่น้ำปิง พร้อมกำชับว่า “ให้ฆ่าพวกไทย พวกจีน และเผาบ้านเรือนริมฝั่งแม่น้ำปิงเสียให้สิ้น” แสดงให้เห็นถึงความโกรธแค้นที่สะสมมาอย่างยาวนานต่ออิทธิพลของกรุงเทพฯ ในล้านนา
การตอบโต้ของทางการและการพ่ายแพ้ของกบฏ
เมื่อข่าวการชุมนุมของกบฏแพร่ไปถึงนครเชียงใหม่ พระองค์เจ้าโสณบัณฑิตได้ส่งคำสั่งให้พระยาปราบสงครามเข้ามอบตัวภายในวันที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2432 แต่ไม่เป็นผล ทางการจึงตัดสินใจใช้กำลังเข้าปราบปราม
วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2432 กองทหารจากเชียงใหม่สามารถจับกุมผู้เกี่ยวข้องกับกบฏได้จำนวนมาก ผู้นำระดับสูง 12 คน ถูกประหารชีวิต ส่วนผู้นำระดับรองถูกเฆี่ยนและจำคุกตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม พระยาปราบสงครามและครอบครัวสามารถหลบหนีไปยังเมืองโก (ในเขตอิทธิพลของเชียงตุง) และได้รับการสนับสนุนจากเจ้าฟ้าเชียงตุง ซึ่งมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับอังกฤษ
ต่อมา พระยาปราบสงครามได้นำกองกำลังกลับมาตีเมืองฝางได้สำเร็จ ก่อนจะพยายามรุกคืบเข้าเชียงใหม่ แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้แก่กองทัพรัฐบาลไทยที่ ผานกกิ่ว แขวงเมืองพร้าว เมื่อวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2432 พระยาปราบสงครามสามารถหลบหนีได้อีกครั้ง และหายตัวไปจากบันทึกทางประวัติศาสตร์หลังจากนั้น
บทสรุปความขัดแย้งระหว่างศูนย์กลางและท้องถิ่น
เหตุการณ์กบฏพระยาปราบสงครามสะท้อนให้เห็นถึงแรงต่อต้านของหัวเมืองล้านนาต่อการรวมศูนย์อำนาจของกรุงเทพฯ ซึ่งส่งผลกระทบทั้งในแง่เศรษฐกิจและอำนาจของชนชั้นปกครองท้องถิ่น
แม้ว่าการก่อกบฏจะถูกปราบปรามลง แต่ความไม่พอใจของเจ้านายฝ่ายเหนือยังคงดำเนินต่อไป และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างล้านนาและกรุงเทพฯ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ในที่สุด ระบบมณฑลเทศาภิบาลก็ถูกบังคับใช้ ทำให้ล้านนาสูญเสียอำนาจปกครองตนเองอย่างสิ้นเชิง และกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสยามโดยสมบูรณ์
กบฏพระยาปราบสงครามจึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์ล้านนา ที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านของสังคมจากระบบเจ้าครองนครไปสู่รัฐรวมศูนย์ภายใต้พระบรมราชจักรีวงศ์
ที่มา : https://www.silpa-mag.com/history/article_87882 , http://www.banklanglp.go.th/main/index.php?modules=baanhau-6
รูปภาพจาก : https://www.facebook.com/share/15zQ9ToL9a/
ร่วมแสดงความคิดเห็น