วันที่ 25 มิถุนายน ณ โรงแรมฮอลิเดย์การ์เด้นท์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ สภาลมหายใจจังหวัดเชียงใหม่ สสส.สำนัก 6 จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกับนักวิชาการและภาคประชาสังคม ได้จัดงานเวทีสร้างความเข้าใจแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างทีมงานโหนดและภาคีหลักในระดับจังหวัด / ชุมชน และนำเสนองานวิจัย เรื่อง “ไฟ เห็ด และการมีส่วนร่วมจัดการไฟของชุมชน”
.
โดยในช่วงต้นของการเสวนา ได้มีการรายงานผลการดำเนินงานการจัดการไฟป่าแบบมีส่วนร่วมใน 20 ชุมชน 5 ตำบล 5 อำเภอในจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ บ้านปง, น้ำบ่อหลวง , สะลวง , แม่หอพระ ระหว่างเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2567 – เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2568 โดยเน้นแนวทางเรื่องการจัดการไฟ และให้แต่ละพื้นที่จัดการตัวเอง โดยการจัดการไฟป่าแบบมีส่วนร่วม ไม่ใช่การจัดการไม่ให้มีไฟป่าในพื้นที่โดยเด็ดขาด ตามคำสั่งจากส่วนกลาง แต่เป็นการปล่อยให้แต่ละชุมชนกำหนดว่าจะมีการใช้ไฟในพื้นที่อย่างไร สำหรับผลลัพธ์การจัดการไฟในชุมชนในปีนี้ ซึ่งใช้เกณฑ์ไฟลักลอบจะเกิดขึ้นไม่เกิน 15 % ของพื้นที่ โดยภาพรวมสอดคล้องกับการจัดการไฟป่าระดับจังหวัด จุดความร้อนลดลงจากปีที่แล้ว ซึ่งหลายชุมชนมีเพียงไฟขนาดเล็กที่สามารถควบคุมได้เร็ว
.
ตามมาด้วยการรายงานข้อท้าทาย การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการไฟป่าฝุ่นควันโดยการมีส่วนร่วมของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายปิยพงษ์ ประพันธ์วัฒนะ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติแสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่ , นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ สภาลมหายใจเชียงใหม่ และ นายเดโช ไชยทัพ สมาคมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
.
นายปิยพงษ์ กล่าวว่า จากการดำเนินการโดยตลอดที่ผ่านมา และขอขอบคุณจากแต่ละชุมชน ที่สามารถควบคุมจัดการไฟป่าสำเร็จในปีที่ผ่านมา จากการที่ผู้นำชุมชน อาทิ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สามารถนำแต่ละชุมชน จัดการไฟป่าในชุมชนได้ แม้นโยบายจากส่วนกลางจะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายระดับชุมชนไปบ้าง แต่เราสามารถควบคุมจุดความร้อนในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งลดลงสูงถึง 60% สำหรับปัญหาในอนาคต หากมีการเปลี่ยนแปลงในระดับฝ่ายบริหาร เบื้องต้นจะต้องมีการถอดบทเรียนในแต่ละพื้นที่ ก่อนจะไปสู่ระดับจังหวัด เพื่อวางแนวทางการจัดการในอนาคต
.
ด้านนายเดโช ได้แสดงความเห็นว่า ถ้าเราขมวดปมประเด็นสำคัญ เราจะเห็นว่าการเพิ่มอำนาจให้ชุมชน จะช่วยแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ได้ดีมากขึ้น โดยการเพิ่มประสิทธิภาพของหน่วยงาน เพิ่มงบ แม้จะช่วยให้การจัดการได้ดีขึ้น แต่เรายังมีประเด็นท้าทายในการจัดการปัญหา เช่น ยุทธศาสตร์ท้องถิ่นที่ขาดการมีส่ในร่วมของชุมชน ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำในระดับบริหาร จังหวัดเชียงใหม่จะมีแผนจัดการปัญหาที่ต่อเนื่อง , การแก้ไขปัญหาที่ดินในเขตป่าแบบก้าวหน้า , การเร่งรัดการเข้าถึงสิทธิการจัดการป่า – ไฟป่า ตามเงื่อนไข พรบ.ป่าชุมชน , การปรับแก้ไขกฎหมายป่าชุมชน / พ.ร.บ.อุทยานฯ / เขตรักษาพันธุ์ฯ ให้เท่าทันสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาได้ดีมากขึ้น , การสนับสนุนงบประมาณไปยังชุมชน รวมถึงความเห็นต่างในเรื่องมาตรการภาครัฐจากส่วนกลางที่ขัดแย้งกับชุมชน ที่จะต้องมีการพูดคุยกันเพื่อหาจุดร่วมและยุติความขัดแย้ง เป็นต้น
.
สำหรับนายชัชวาลย์ ได้กล่าวว่า ความท้าทายใหญ่เรื่องป่าชุมชน เป็นฐานใหญ่สำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่เพียงแค่การจัดการไฟป่าเท่านั้น แต่ต้องรวมไปถึงการจัดการทรัพยากรจากป่าในชุมชน ดังนั้นเราต้องยกระดับป่าชุมชนอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะเศรษฐกิจป่าชุมชน เป็นประเด็นสำคัญที่ควรสนใจ เพราะสัมพันธ์กับการแก้ไขปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ การจัดการไฟป่าและหมอกควันไม่ใช่เรื่องเทคนิค แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ซึ่งภาคประชาสังคมจะต้องขับเคลื่อนเพื่อให้ภาครัฐและภาคประชาชนได้ตกผลึกปัญหาร่วมกัน เพื่อที่จะได้เริ่มการดำเนินการ และสุดท้าย ปัญหากฎหมายป้องกันบรรเทาสาธารณภัย ยังคงให้มีการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า นำไปสู่การผลักดัน ร่าง พรบ.อากาศสะอาด ซึ่งจะเข้ารัฐสภาภายในเดือนกรกฎาคมนี้ และจะเร่งรัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อแทนที่กฎหมายเดิมที่จำกัดกรอบการแก้ไขปัญหา
.
และสุดท้าย เป็นการรายงานผลงานวิจัยเห็ดป่า ณ ชายขอบแห่งเมือง : การพัวพันของวัฒนธรรมการเก็บหาของป่า โดย ศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่ง ศ.ดร.ปิ่นแก้ว ได้เปิดเผยว่า งานวิจัยดังกล่าวต้องการศึกษาในประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการหาเห็ด ของป่า เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหรือปัญหาไฟป่าอย่างไร , อคติของชนชั้นกลางต่อการเก็บเห็ด ของป่าของชาวบ้าน และปัญหานโยบายการจัดการปัญหาก่อนหน้านี้ โดยพบว่า วัฒนธรรมการหาเห็ด ของป่า จากการยังชีพสู่กระบวนการผลิตสินค้าเชิงพาณิชย์ มาจากความล้มเหลวในการยกระดับภาคการเกษตรที่ล้มเหลว ที่ไม่สามารถสร้างรายได้แก่คนในชุมชน และการริดรอนสิทธิในการใช้ที่ดิน
.
และกระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นจากปัจจัยภายในและภายนอกของชุมชน โดยเห็ด และของป่า มีข้อจำกัดในการเพาะปลูก ทำให้มีความต้องการจากภายนอกสูง แต่กลุ่มทุนภายนอกไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงการควบคุมสินค้าเห็ด และของป่าในชุมชนท้องถิ่น โดยถือเป็นการสะสมทุน ที่ล่วยให้ระบบทุนนิยมในภาคกมรเกษตรของพื้นที่ไม่ล้มละลาย ขณะที่ความเกี่ยวข้องเกี่ยวกับไฟป่า งานวิจัยชี้ว่า ควรแยกความเกี่ยวข้องระหว่างไฟป่ากับการจัดการไฟในชุมชนออกจากกัน ซึ่งผู้ที่ใช้ไฟในป่า ไม่ได้มีแต่ชาวบ้านเท่านั้น เพราะเจ้าหน้าที่ป่าไม้เองก็นิยมชิงเผาป่าไปก่อน นอกจากนี้ปัญหาการทำงานของระบบราชการ มีส่วนสำคัญที่กระทบต่อการวางนโยบายแก้ไขปัญหาไฟป่าในชุมชน
.
โดยเห็ดถอบ เป็นเห็นที่ไม่สามารถเพาะปลูกได้ และพบได้กับป่าเต็งรัง เหมือนกับเห็ตมัตสึทาเกะในป่าสน รัฐโอเรก้อน สหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดความพึ่งพาระหว่างกันกับคนและเห็ด ซึ่งในอดีต มีการเก็บเห็ดเพื่อยังชีพมาอย่างยาวนาน ขณะที่ปัจจุบัน ชุมชนหลายแห่งพึ่งพิงการเกษตรน้อยลงเรื่อยๆ เพราะรายได้ที่ลดลง โดยไปเน้นการทำปศุสัตว์ หรือการเก็บของป่า ประกอบกับปัญหาการรุกที่ดินของราชการและกลุ่มทุน ช่วยค้ำยันอาชีพการเก็บของป่าของชาวบ้านในพื้นที่นั้นๆ โดยจังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่ป่ากว่า 9 ล้านไร่ หรือมากกว่าร้อยละ 60 ของพื้นที่ เป็นป่าเต็งรังในพื้นที่อำเภออมก๋อย , ฮอด ทำให้อำเภออมก๋อยเป็นศูนย์กลางของเห็ดถอบ ดังนั้นเศรษฐกิจจากป่าชุมชน มีส่วนสำคัญในภาคเศรษฐกิจในพื้นที่ดังกล่าวตลอดทั้งปี สวนทางกับเศรษฐกิจภายนอกที่ซบเซา
.
ดังนั้น ภาคเศรษฐกิจจากป่าชุมชน ควรจะมีการศึกษาและปรับมุมมองใหม่ เพื่อที่จะได้เข้าใจวิถีชุนมากขึ้น และถือเป็นอิสรภาพของคนในชุมชน ออกจากการกดบังคับของระบบทุนนิยมภายนอก และระเบียบทางสังคม โดยมีตัวอย่างจากการศึกษางานวิจัย เช่น อดีตผู้ใหญ่บ้านที่ลาออกจากงานประจำมาทำงานเก็บของป่า , การใช้ประโยชน์ของป่าชุมชนของชาวบ้าน ที่มีอิสระกว่าป่าอนุรักษ์ของราชการ
.
นอกจากนี้เห็ดถอบ และของป่า จากที่เป็นวัฒนธรรมอาหารของคนเชียงใหม่ โดยก่อนปี พ.ศ. 2559 เห็ดถอบมีราคาขายลิตรละไม่เกิน 100 บาท ภายหลังจากนั้น เมื่อเห็ดถอบกลายเป็นสินค้าอาหารในเชิงพาณิชย์ได้ง่ายขึ้น จากความสะดวกสบายของระบบโทรคมนาคมและการขนส่ง และการเติบโตของร้านอาหารและการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงใหม่ กว่า 40 % ทำให้ปัจจุบันราคาเห็ดถอบพุ่งขึ้นเป็น ลิตรละ 450 บาท ที่น่าสนใจคือ เห็ดถอบคุณภาพดียังคงอยู่ในชุมชนท้องถิ่น ขณะที่คุณภาพกลางๆ จะส่งขายร้านอาหารในเมือง ขณะที่เห็ดถอบคุณภาพต่ำจะถูกส่งไปยังโรงงาน พบว่าผู้ที่ทำอาชีพเก็บของป่า สามารถสร้างรายได้สูงถึง 1 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่า การกระจายรายได้จากสินค้าเห็ดถอบและของป่า สามารถไหลเวียนกลับมาสู่ชุมชน
.
สำหรับวาทกรรมไฟป่าที่ถูกทำให้เชื่อมโยงกับเห็ดถอบ – ของป่า ถูกผลิตซ้ำผ่านสื่อและหน่วยงานรัฐ แต่เมื่อมีการศึกษาในพื้นที่ พบว่าการใช้ไฟในกลุ่มเจ้าหน้าที่ป่าไม้ เพื่อชิงเผาป่า โดยเฉพาะป่าเต็งรัง เพื่อรักษาระบบนิเวศน์ของป่า โดยมีการอ้างงานวิจัยด้วยการไม่เผาป่าเต็งรัง จะทำให้กลายเป็นป่าผลัดใบ และพันธุ์ไม้ในป่าเต็งรัง ทนต่อไฟป่ามากกว่าพันธุ์ไม้ในป่าชนิดอื่นๆ และป่าเต็งรัง เป็นป่าที่ชาวบ้านพึ่งพิงมากที่สุด และมีการจัดการไฟในป่าตลอดทุกปี แต่ระดับของการใช้ไฟต่ำมาก โดยที่ชาวบ้านสามารถควบคุมได้ ดังนั้น งานวิจัยได้ชี้ให้เห็นว่า การใช้ไฟในพื้นที่ป่าเต็งรัง มีการดำเนินการมาอย่างยาวนานแล้ว ภาคประบาสังคม หน่วยงานรัฐ และสื่อมวลชนควรหยุดการผลิตซ้ำวาทกรรมการห้ามเผาป่าโดยเบ็ดเสร็จเสียที โดยสิ่งที่ควรสนใจคือ เราจะควบคุมไฟในพื้นที่อย่างไร ไม่ให้เกิดปัญหาหมอกควัน แม้เห็ดถอบ ไม่ใช่เห็ดที่จะเติบโตในพื้นที่ป่าที่มีการเผาไหม้ โดยงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าภูมิอากาศมีส่วนสำคัญมากกว่า แต่การใช้ไฟในพื้นที่ มีส่วนช่วยการเจริญเติบโตของเห็ดถอบ ตราบใดที่ไม่สามารถเพาะปลูกเห็ดถอบนอกพื้นที่ป่าเต็งรัง ดังนั้นควรจะมีการศึกษาเรื่องการจัดการไฟในป่าเต็งรังให้มากขึ้น







ร่วมแสดงความคิดเห็น