เมื่อวานไปร่วมงาน เดิน-วิ่งเพื่อสุขภาพ ของโครงการ “ Healthy Hero “ ที่สสส จัดร่วมกับการกีฬาแห่งประเทศไทย และกทม ที่ สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ จตุจักร
ผมไปเพื่อสานต่อการรณรงค์ ”การกีฬาไทยไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า“ และมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ได้แจ้งต่อที่ประชุม ”อาเซียนปลอดบุหรี่“ ที่เมืองเวย์ เวียตนามเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า มูลนิธิฯมีโครงการที่จะรณรงค์ ”งานลอยกระทงปลอดบุหรี่“ และ ”ซีเกมส์ปลอดบุหรี่“ เพราะทั้งสองเรื่องนี้ คนอาเซียนรู้และมีส่วนร่วม
ที่งานเขามี เดิน-วิ่ง 2.5 กับ 5.0 กม ผมเลือก 5 กม เพราะ ถึงจะเป็น 5 กม จำนวนก้าวก็ยังไม่ครบ 10,000 ก้าวที่ผมเดิน-จ๊อกกิ๊งอยู่ทุกวัน
ผมเดินๆวิ่งๆคุยกับคุณรัฐ จิโรจน์วณิชชากร นายกสมาคมการค้าผู้จัดงานกีฬามวลชนไทย (TMPSA)
คุณรัฐเล่าว่า เขาเริ่มมาวิ่งออกกำลังกายเมื่ออายุ 40 ปีเศษ เพราะก่อนนั้นทำแต่งานจนอ้วน สุขภาพเขาไม่ฟิต เขาคิดว่าถ้าเขาเจ็บป่วยมีโรคขึ้นมา ลูกและครอบครัวจะลำบาก
โป๊เชะเลยครับ เป็นเหตุผลเดียวกับที่ผมเริ่มออกกำลังกาย เดิน-จ็อกกิ๊ง เมื่ออายุ 40 ปีเศษ ตอนนั้นลูก 3 คนเรียนมัธยม เราไม่มีทรัพย์สมบัติ ถ้าผมป่วยหรือเสียชีวิตเร็ว ครอบครัวและลูกๆจะลำบาก
คุณรัฐบอกว่า เขาเห็นหลายคน เป็นเหมือนที่มีการพูดว่า “ตอนหนุ่มๆเอาสุขภาพไปแลกเพื่อหาเงิน พอตอนแก่ต้องเอาเงินไปซื้อสุขภาพ”
ผมบอกคุณรัฐว่า ในฐานะที่เป็นหมอ พบว่ามีคนจำนวนมาก ที่เข้าใจผิดว่า ถ้ามีเงิน จะทำให้สุขภาพที่เสียไปกลับคืนเหมือนปกติได้
ทำให้ใช้ชีวิตแบบไม่บันยะบันยัง ทำงานหนัก อดนอน เที่ยวกลางคืน กินเหล้าสูบบุหรี่ กินอาหารจั๊งฟูด ไม่ออกกำลังกาย
คิดว่า หาเงินไว้มากๆ ถ้าป่วยก็รักษาให้สุขภาพดีเหมือนเดิมได้ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมากๆ
โรคที่เกิดจากพฤติกรรม ที่เรียกว่า NCDs เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน มะเร็งและโรคปอดเรื้อรัง ที่เป็นสาเหตุการเจ็บป่วยและเสียชีวิตก่อนเวลาของคนไทยถึงประมาณ 70% หากเป็นขึ้นมา ยากมากที่จะรักษาให้หายเหมือนเดิมได้ ไม่ว่าจะใช้เงินสักเท่าไร
โรคNCDs มาจากพฤติกรรมเสี่ยง 4 อย่างคือ การสูบบุหรี่ กินอาหารไม่เหมาะสม ดื่มสุรา และขาดการออกกำลังกาย
เราใช้เวลา 55 นาทีในการเดินวิ่ง 5 กมวันนี้ คุณรัฐพยายามชวนผมไปร่วมวิ่ง “บางแสนมาราธอน” พฤษภาคมปีหน้า เอาอย่าง 10 กม เขามั่นใจว่าผมทำได้ ผมไม่รับปาก
ไอ้ได้มันคงได้อยู่ครับ แต่คงใช้เวลานาน เป็นภาระแก่ฝ่ายจัดงานครับ
ที่เขียนนี่ ต้องการเตือนสติคนวัยกลางคน ให้หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเอง อย่าคอยจนป่วยแล้วค่อยมาทุ่มเทรักษา มันบ่มีทางเหมือนเดิมครับ
คนที่จะได้ประโยชน์สูงสุด คือตัวเอง ครอบครัว ลูกๆ
และประเทศชาติก็จะได้ประโยชน์จากการมีประชากรที่มีสุขภาพดี เป็นพลังในการพัฒนาประเทศ
ส่งท้ายด้วย คำพูดของมหาตมะคานธี บิดาประเทศอินเดีย “สุขภาพต่างหาก คือความมั่งคั่งที่แท้จริง หาใช่เงินทองไม่”
ศ.นพ ประกิต วาทีสาธกกิจ 20 ตุลาคม 2568
อ้างอิง
https://www.thailandmovement.com/?p=35083

ร่วมแสดงความคิดเห็น