“เรือนแพดอยเต่า” วิถีชีวิตที่ลอยอยู่เหนือกาลเวลา จากการปรับตัวสู่แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของเชียงใหม่
ดอยเต่า – จังหวัดเชียงใหม่: หากกล่าวถึงทะเลสาบกลางหุบเขาที่สะท้อนแสงแดดบนผิวน้ำอย่างสงบงาม “ทะเลสาบดอยเต่า” คือหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวสายธรรมชาตินึกถึงอยู่เสมอ โดยมี “วัดพระบรมธาตุ (ดอยเกิ้ง)” ตั้งเด่นอยู่บนยอดดอยเป็นสัญลักษณ์แห่งความศรัทธา ทว่าภายใต้ความงามของสายน้ำนี้ ยังซ่อนเรื่องราวการปรับตัวของชุมชนที่น่าจดจำและทรงคุณค่าทางวัฒนธรรม ต้นกำเนิดของทะเลสาบดอยเต่าเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2507 จากการสร้าง เขื่อนภูมิพล ซึ่งทำให้น้ำจากแม่น้ำปิงเอ่อท่วมพื้นที่ราบในอำเภอดอยเต่า ส่งผลให้ชาวบ้านจำนวนหนึ่งต้องอพยพขึ้นไปอยู่บนที่สูง และเปลี่ยนวิถีชีวิตที่ผูกพันกับลำน้ำปิงมายาวนานหลายชั่วอายุคน
ก่อนหน้านั้น ชาวดอยเต่าหลายครอบครัวมีอาชีพค้าขายทางน้ำ โดยใช้แพและเรือในการล่องแม่น้ำปิงเพื่อแลกเปลี่ยนสินค้า เมื่อเส้นทางการค้าทางน้ำสิ้นสุดลงหลังการสร้างเขื่อน ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้น แต่ในวิกฤตก็มีโอกาส เมื่อชาวบ้านเริ่มนำแพมาดัดแปลงเป็นที่อยู่อาศัย และต่อยอดสู่การให้บริการนักท่องเที่ยวในเวลาต่อมา ราวปี พ.ศ. 2518 ได้เกิดธุรกิจ “เรือนแพล่องน้ำปิง” ขึ้นเป็นครั้งแรกในพื้นที่ ใช้เส้นทางจากเขื่อนภูมิพลไปจนถึง “ท่าศูนย์” ซึ่งเป็นจุดพักแพในอดีต ธุรกิจดังกล่าวพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นแพท่องเที่ยวเต็มรูปแบบในช่วงต้นยุค พ.ศ. 2520
ต่อมาในปี พ.ศ. 2524 แพชื่อดังอย่าง “แพชลสินธุ์” และ “แพธารทอง” ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง และเมื่อถึงปี พ.ศ. 2529 การเปิดตัวของ “เรือสำราญเพชรสุวรรณ” ยิ่งตอกย้ำให้ทะเลสาบดอยเต่ากลายเป็นจุดหมายใหม่ของผู้ที่มองหาประสบการณ์ล่องเรือพักผ่อน ท่ามกลางธรรมชาติและวิถีชีวิตริมน้ำอันเงียบสงบ
ปัจจุบัน ธุรกิจเรือนแพในดอยเต่ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวสามารถ ล่องแพ พักค้างคืน ชิมอาหารพื้นถิ่น และชมพระอาทิตย์ตกกลางสายน้ำ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของดอยเต่าที่หาไม่ได้จากที่ใดในประเทศไทย
“ทะเลสาบดอยเต่า” จึงไม่ใช่เพียงสถานที่ท่องเที่ยวธรรมดา หากแต่เป็น บทพิสูจน์แห่งพลังการปรับตัวของชุมชน ที่สามารถเปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาส และอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล สืบทอดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของเชียงใหม่มาจนถึงทุกวันนี้.







ร่วมแสดงความคิดเห็น