82691

พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ขัติยนารีของเมืองเชียงใหม่

ถ้าหากย้อนถึงอดีตของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี พระองค์ทรงเป็นพระธิดาองค์ที่ 11 ของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ 7 กับแม่เจ้าทิพเกษร ทรงประสูติเมื่อวันอังคาร เดือน 10 (เหนือ) ขึ้น 4 ค่ำปีระกา ในเวลา 03.00 น.ตรงกับวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ.2416 ที่คุ้มหลวงเมืองเชียงใหม่ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของศาลากลางหลังเก่าและหอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ เมื่อทรงพระเยาว์ได้ศึกษาอักษรไทยเหนือและไทยกลาง ทรงมีความสนใจและเข้าใจในขนบธรรมเนียมประเพณีของล้านนาเป็นอย่างดี ปี พ.ศ.2429 ได้เสด็จตามพระบิดาลงไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ กรุงเทพแล้วเลยอยู่รับราชการฉลองพระเดชพระคุณฝ่ายในเป็นเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อทรงประสูติพระราชธิดาแล้วทรงโปรดเกล้าฯให้เลื่อนฐานะศักดิ์เป็นพระสนมเอก กระทั่งปลายปี พ.ศ.2451 หลังจากที่เสด็จกลับมาเยี่ยมนครเชียงใหม่เป็นครั้งแรกด้วยเรือหางแมงป่อง ประทับอยู่ไม่นานจึงเสด็จกลับกรุงเทพฯจากนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯให้สถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็นพระราชชายา ในระหว่างที่ทรงรับราชการในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งรวมเป็นระยะเวลานานถึง 28 ปีนั้น พระราชชายาเจ้าดารารัศมีได้ทรงดำรงพระองค์อย่างเหมาะสม พระองค์ทรงยึดมั่นในการรักษาวัฒนธรรมประเพณีของล้านนาเอาไว้ โดยโปรดให้ข้าหลวงในวังนุ่งซิ่นไว้ผมมวย แต่งกายแบบชาวเชียงใหม่ พูดภาษาคำเมืองและกินเมี่ยง ขณะเดียวกันก็ทรงเรียนดนตรีไทยภาคกลาง จนกระทั่งพระองค์ทรงดนตรีได้หลายอย่าง นอกจากนั้นยังทรงสนับสนุนให้พระญาติและข้าหลวงเรียนและฝึกเล่นดนตรีไทยภาคกลางจนสามารถตั้งวงเครื่องสายได้ พระราชชายาเจ้าดารารัศมียังทรงสนพระทัยในเรื่องการถ่ายรูป ซึ่งสมัยนั้นเป็นของใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในประเทศไทย พระญาติของท่านคนหนึ่งที่อยู่ร่วมพระตำหนักได้ชื่อว่าเป็นช่างภาพผู้หญิงคนแรกของไทยรับงานถ่ายรูปของราชสำนัก การที่พระองค์ทรงมีพระจริยาวัตรงดงามตลอดเวลาที่ทรงประทับอยู่ในพระบรมมหาราชวัง จึงทำให้ทรงได้รับการโปรดเกล้าฯพระราชทานตราปฐมจุลจอมเกล้าสำหรับฝ่ายในแก่พระราชชายาเป็นรุ่นแรกพร้อมกับพระภรรยาเจ้าและพระราชธิดา ซึ่งมีเพียง 15 […]

ย้อนรอยสี่แยกช้างเผือก ก่อนสร้างวงเวียนน้ำพุ 2503

ย่านช้างเผือกหมายถึงบริเวณประตูช้างเผือก ตั้งอยู่บริเวณถนนช้างเผือกต่อกับถนนโชตนา ชื่อย่านช้างเผือกน่าจะมาจากรูปปั้นช้างเผือก 2 ตัว คือ ปราบจักรวาลและปราบเมืองมารเมืองยักษ์ ซึ่งพระเจ้ากาวิละโปรดให้สร้างไว้ที่ประตูหัวเวียง ปัจจุบันช้างเผือกทั้งสองนี้ ตั้งอยู่ด้านหน้าของประตูขนส่งช้างเผือก ส่วนที่บริเวณด้านหน้าประตูช้างเผือก ได้สร้างน้ำพุรูปช้างเผือก (ช้างทาสีขาว) ตั้งอยู่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของประตูช้างเผือก ในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ กล่าวว่า เคยมีการสร้างช้างเผือกมาแล้ว ตั้งแต่สมัยพระเจ้าแสนเมืองมา หลังจากที่พระองค์เสด็จกลับจากการทำศึกกับสุโขทัย แต่เดิมย่านช้างเผือกเป็นที่รวมของชุมชนหลากหลายเชื้อชาติ เช่นเดียวกับย่านอื่นๆ คือมีทั้งชาวจีน คนเมือง คนไทใหญ่ และมุสลิม ความหลากหลายของผู้คนเหล่านี้ เห็นได้จากศาสนสถานซึ่งเป็นสถานที่ทำบุญของแต่ละชุมชน ที่ยังคงอาศัยอยู่จนถึงทุกวันนี้ เช่น กลุ่มคนเมืองและคนจีนไปวัดเชียงยืน คนไทใหญ่ไปวัดป่าเป้า ส่วนคนมุสลิมก็มีมัสยิดเป็นศูนย์รวมจิตใจอยู่ในชุมชน ชุมชนมุสลิมแห่งนี้ เพิ่งจะมาตั้งอยู่ที่นี่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้เอง อาชีพหนึ่งที่เคยเป็นอาชีพหลักของชาวไทใหญ่ในแถบนี้คือ การทำหนังพอง ที่นิยมรับประทานแกล้มกับขนมจีนน้ำเงี้ยว หนังพองมีลักษณะคล้ายแคบหมูทำจากหนังวัว ในขณะที่แคบหมูทำจากหนังหมู ปัจจุบันอาชีพนี้หายไปจากชุมชนหมดแล้ว ใกล้ๆ กับประตูช้างเผือก เป็นที่ตั้งของตลาดช้างเผือก แต่เดิมเป็นย่านการค้าที่มีกลุ่มพ่อค้าจากทางเหนือของเมือง นำของมาวางขายร่วมกับคนในย่านชุมชนนี้ ปัจจุบันพ่อค้ากลุ่มนี้ยังมีอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก ตลาดช้างเผือกเป็นตลาดสด เริ่มติดตลาดตั้งแต่ตี 3 ตี 4 พอสายสัก 9 […]