82916

กลุ่มเปราะบางเฮ! เล็งเป็นกลุ่มแรกที่จะได้เงินดิจิทัล 10,000 บาทก่อน

ครม.เห็นชอบสำนักงบตั้งงบรายจ่ายเพิ่มเติมปี 67 อีก 1.22 แสนล้าน โดยเพิ่มในส่วนของงบลงทุน – ชำระเงินต้น – รายได้ (4 มิถุนายน 2567) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. มีมติให้ความเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่าย เพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ตามที่ สำนักงบประมาณ (สงป.) เสนอ จำนวน 122,000 ล้านบาท สำหรับเป็น งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ โดยมีแหล่งเงินจากการจัดเก็บรายได้ที่เดิมไม่ได้กำหนดไว้ในประมาณการเพิ่มเติม จำนวน 10,000 ล้านบาท และเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 112,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามที่ที่ประชุม 4 หน่วยงานเศรษฐกิจ ได้แก่ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงบประมาณ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้มีการประชุมร่วมกันและเห็นชอบกรอบงบประมาณเพิ่มเติมวงเงิน 122,000 ล้านบาท วัตถุประสงค์และรายละเอียดของการจัดทำ […]

“เงินดิจิทัล 10,000 บาท” คลังเคาะเกณฑ์ เช็กเลย ใครมีสิทธิได้รับ

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุ ที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตมีมติเห็นชอบการกำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์ของผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท ดังนี้ อัปเดตหลักเกณฑ์ผู้มีสิทธิเงินดิจิทัล 10,000 บาท ล่าสุด เกณฑ์รายได้วัดจากฐานข้อมูลเงินได้ของกรมสรรพากร ณ ปี 2566 สิ้นสุดไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 66 กำหนดว่าจะต้องไม่เกิน 840,000 บาท

แจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ทำได้จริงหรือไม่ ?

ขั้นตอนจ่ายเงิน 10,000 บาทให้กับบุคคลที่มีสิทธิ์นี้จะเป็นอย่างไร? คงไม่ใช่รูปแบบเงินสดแน่ ๆ แต่จะเป็นยังไงบ้างสำหรับการจ่ายเงินเป็นเงินดิจิตอลต้องมาดูกันว่าจริงต้องตั้งคำถามกับทุกท่านว่าจริงๆ แล้วเงินที่ได้มามันคือ เงินบาท ดังนั้นก็ไม่ควรที่จะแตกต่างจากเงินธรรมดา แต่ที่น่าจะแตกต่างคือเงื่อนไขของการใช้จ่ายว่าจะเอาไปใช้จ่ายที่ไหนได้บ้าง ประเด็นที่น่าสนใจอย่างมาก คือ เงินที่ได้มานั้นใช้ได้เลยหรือไม่ มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเรายังไม่สามารถตอบได้เลยว่าคนรับอยากจะรับไหม ? แล้วคนรับจะรับได้ยังไง คนรับเอาไปใช้ต่อได้อย่างไรประเด็นเหล่านี้เป็นคำถามที่จะต้องหาคำตอบและตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้พอสมควร ในประเด็นที่หนึ่ง คนรับแล้วนำไปใช้ยังไง ก็มีการพูดออกมาจากฝั่งของพรรคเพื่อไทยว่า สำหรับ ประชาชนคนไทยสามารถใช้หมายเลขบัตรประชาชนในการยืนยันตัวตนและสามารถนำไปใช้จ่ายได้ทันที ตรงจุดนี้อาจจะเป็นจุดที่ยังไม่มีความชัดเจนว่ามันจะไปยังไงต่อ ตรงนี้คงต้องรอฟังเพื่อไทยที่เป็นเจ้าของนโยบายกันดู แต่ว่าถ้าทำอย่างนี้ได้จุดเริ่มต้นของการ แจกเงิน คิดว่าแจกกันค่อนข้างง่าย เพราะว่าทำอย่างนั้นได้จริงตรงนี้ก็จะมีประเด็นว่าเงินที่จะนำออกมาแจกได้รับแล้ว ผู้รับไม่อยากใช้ตามขั้นตอนเอาไปขายให้กับคนที่มีความอยากได้ แบบตกเขียวหรือลดราคา เช่น 10,000 บาท ผมบอกผมต้องการเงินสด แค่ 8,000 บาท ดังนั้นไม่ว่าเงินจะมารูปแบบไหน เป็นแอพบาท  บาร์โค้ดหรือ คิวอาร์โค้ด มันไม่จำเป็นต้องโอนเงินวันนี้เพราะมีเวลาใช้เงิน 6 เดือนนั้นมันสามารถบอกได้ว่าการยืนยันตัวตนอาจจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็ได้.. เรื่องที่สอง บอกว่าเงินที่ได้รับใช้จ่ายไม่เกิน 4 กิโลเมตร ในทุกที่ที่มีคิวอาร์โค้ดบอกจะใช้ได้เลยจริงๆไม่ได้อย่างที่หาเสียงไว้ ประเด็นนี้จำเป็นที่จะต้องมีแอปพลิเคชันหรือมีอะไรบางอย่างที่จะมายืนยันว่าผู้ใช้เงินอยู่ตรงนั้นหรือเปล่าใช่ตรงนั้นหรือเปล่าซึ่งตรงนี้มีมติที่สามารถจะทำได้ก็คือว่าเรารู้ว่าตำแหน่งที่เราต้องการให้เขาใช้จ่าย ดูจากตำแหน่งของคนจ่ายหรือคนรับ ถ้าดูจากตำแหน่งของคนจ่ายคนหรือชำระเงินก็แปลว่าต้องมีแอปแน่นอนและดูจากตำแหน่งของผู้จ่าย ร้านค้าไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งก็ได้ เพราะไม่ได้มีการตรวจทั้งสองฝ่าย ระบบอาจจะไม่ได้ใช้ได้ตามที่หวังเอาไว้ เพราะฉะนั้นจริงๆมีหลายประเด็นที่อาจจะต้องใช้เวลานานพอสมควร เรามาดูภาพใหญ่กันดีกว่าเพื่อไทยบอกชัดเจนว่าไม่สามารถถอนออกมาเป็นเงินสดได้ แต่ว่าโอนได้หรือเปล่าประเด็นนี้ยังไม่มีการพูดถึง แต่ว่ามันเป็นเงินในระบบ ต้องถามว่าเพื่อไทยได้มีการไปพูดคุยกับแบงค์ชาติหรือเปล่าเกี่ยวกับกฎหมายว่าจะทำได้ไหมหรือว่าขัดต่อข้อกฎหมายบางประการหรือเปล่า ในมุมมองประเด็นนี้ เงินที่ได้รับเป็นเงินบาทหรือไม่ เพราะถ้าคิดว่ามันเป็นเงินบาทมีความเทียบเท่าเงินบาทจริงๆ ถึงแม้ว่าจะใช้งานผ่านแอฟพลิเคชั่น ก็ถือว่าเป็นการพิมพ์เงินออกมาหรือว่าเป็นการก่อหนี้ คุณสมบัติเทียบเท่าเงินบาททุกประการ มันก็จะไปเข้าพระราชบัญญัติเงินตรา มาตรา 2501 ที่บอกว่า คนที่จะออกธนบัตร ออกตั๋วเงินตราต่างๆ ได้ คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นผู้ออก แต่ว่าวันนี้อยู่ดี ๆ จะมีเงินส่วนที่สามและเป็นเงินดิจิตอลต้องถามว่ามันมีความสามารถใช้จ่ายได้แล้วหรือยัง แล้วถูกจัดว่าเป็นเงินส่วนไหนของเงินตรา เพราะเงินตรามีข้อกำหนดอยู่ที่มาตรา 9 ระบุไว้ว่า ให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีในการที่จะยกเว้นเรื่องดังกล่าวให้คนอื่นสามารถที่จะพิมพ์เงินเหล่านั้นออกมาได้ ประเด็นที่น่าสนใจต่อมา คือ เงินตราเหล่านี้ออกมาแล้วอยู่ตลอดไปก็อาจจะฟังดูง่ายแปลว่าเงินตรงนี้ก็จะถูกเปลี่ยนการปรับใช้ได้ตลอดเวลา แต่เงินก้อนนี้ถูกจำกัดว่าเอาไปใช้ได้เพียง6 เดือนเท่านั้น เงินที่จะออกมา ห้าล้านห้าแสนล้านบาท ต้องใช้ให้หมดภายในเวลา 6 เดือน แล้วคนที่ถือเงินเป็นคนสุดท้ายจะได้เงินกลับไปยังไง เขาไม่ได้เงินกลับไปแปลว่าอะไร แปลว่าเขาต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่าย ห้าล้านห้าแสนล้านบาท ที่เขารับมาทั้งหมดหรือเปล่ามันจำเป็นที่จะต้องมีการขายของคืนเพื่อหมุนเม็ดเงินกลับเข้ามาในระบบของเขาในรูปแบบเงินตราที่ใช้อยู่จริง ตามมาด้วยประเด็น รัฐบาลจะหาเงินตรงนี้มาจ่ายคืนได้ยังไง ห้าแสนล้านบาท เท่ากับว่าวันแรกอาจจะพิมพ์ออกมาเป็นเงินจริงๆ แต่ว่าพอสุดท้ายแล้วมันจะกลายเป็นการก่อหนี้ของภาครัฐคือการออกมีปริมาณมากเป็นการก่อหนี้ที่ค่อนข้างสูงพอสมควรคือ คิดเป็นปริมาณ 2 – 3 % ของ GDP เป็นเงินงบประมาณประมาณ 16% ของงบประมาณ ซึ่งคิดว่าเป็นจำนวนที่ค่อนข้างเยอะมากแต่ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบอื่น เราจะไม่มีโอกาสที่จะนำเงินตรงนี้มาใช้จ่ายได้ง่าย ประเด็นต่อมา เงินจำนวนห้าแสนล้านบาท บอกว่าเดี๋ยว 6 เดือนจะเอาเงินมาคืน จะทำได้จริงหรือไม่ สมมุติ คุณเป็นเจ้าของร้านอาหารได้เงินจากกลุ่มที่ได้รับเงิน จำนวน 10,000 บาท คุณก็ต้องเอาเงินไปซื้อ เครื่องปรุง หมู เห็ด เป็ด ไก่ หรืออะไรก็ตามที่เป็นวัตถุดิบ แต่ติดที่เขากำหนดไว้ คือ 4 กิโลเมตร ถามว่าคุณชื้อทั้งหมดใน 4 กิโลเมตรได้จริงหรือ ตลาดที่คุณต้องการชื้อวัตถุดิบ อยู่ในรัศมี 4 กิโลเมตรที่เขากำหนดหรือไม่  คำถามก็วนกลับมาที่เดิมและต้องเป็นประเด็นที่ยังต้องถกเถียงกันเยอะมากว่าถ้าเงินเหล่านี้ใช้ได้แต่ก็ติดรัศมี 4 กิโลเมตรจำกัดประเภทของเงินที่จะใช้ คนใช้ได้อาจจะอยากใช้จ่ายแต่คนรับอาจจะไม่อยากรับ ตามหลักแล้วมันสามารถวัดความคุ้มค่าของประมาณได้ไหม เงินที่ใส่เข้าไปในระบบหนึ่งบาท คุณจะประเมินความคุ้มค่าโครงการที่จะใส่เงินเข้าไป หลักแสนล้านบาทยังไง เพราะมันแตกต่างจากการใช้จ่ายเงินของภาครัฐฯ แตกต่างจากการใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่เอาไปสร้างถนนหรือเอาไปทำอะไรการตามที่เป็นสาธารณะประโยชน์ ต่างๆ หรือโครงสร้างพื้นฐานแล้วประชาชนได้เงินจากการจ้างงาน เงินเหล่านี้ก็จะหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ อีกรูปแบบคือการที่รัฐบาลใช้จ่ายเองรัฐบาลเอาเงินไปมอบให้กับประชาชนและประชาชนเอาไปใช้จ่ายเงินอีกทีหนึ่ง ตามทฤษฎีที่รัฐใช้จ่ายเงินภาครัฐโดยตรง เอาไปจัดซื้อจัดจ้างทำอะไรบางอย่างก็ทำให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานทำให้เกิดประโยชน์ในอนาคต ซึ่งตรงนี้เป็นตัวเลขที่วัดค่อนข้างยากแต่รู้กันว่าค่อนข้างสูงโดยเฉพาะถ้าการลงทุนนั้นนับเป็นการลงทุนที่ทำให้ โครงสร้างพื้นฐานเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ได้จริง ส่วนที่เป็นเงินที่เอาไปให้ประชาชนใช้จ่ายโดยตรงก็คงจะค่อนข้างใกล้เคียงกับเงินดิจิตอลที่กำลังพูดถึง การใช้จ่ายในลักษณะแบบนี้ หลายๆประเทศมีการประเมินมาแล้วและก็ได้ตัวเลขที่ค่อนข้างต่างกันมาก อย่างเช่น ตุรกี เคยพยายามวัดตัวเลขนี้ปรากฏว่า นำเงินให้ไป 100 บาท มีการใช้จ่ายจริงหมุนเวียนหลายๆรอบใช้จ่ายได้ภายในประเทศ เคยมีการพยายามวัดกันแล้วก็บอกว่าเงินหนึ่งร้อยบาท จะกลับมาหมุนเวียนในระบบประมาณ 98 บาท ย้อนกลับไปตอนช่วงโควิดมีโครงการต่างๆ ที่ช่วยเหลือประชาชนในช่วงที่ได้รับความเดือดร้อนกับการระบาดโควิดมีงบประมาณที่เราขอกู้ยืมเงินเพิ่มเติม 1.5 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการใหญ่ๆ เช่น โครงการคนละครึ่ง โครงการไทยเที่ยวไทย เป็นต้น รวมกันประมาณ 800,000 ล้านบาท ถามว่าเม็ดเงินนี้สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจได้มากจริงไหม มันไม่เยอะที่คิดไว้ ตอนแรกเราคิดว่าเดี๋ยวมันคงจะหมุนกับมา 5 รอบ 10 รอบไม่ถึงขนาดนั้น น้อยกว่านั้นเยอะ การที่พรรคเพื่อไทยต้องการที่จะทำให้ ประชาชน อาจจะรู้สึกดีกับรัฐบาลชุดนี้กับพรรคการเมืองชุดนี้ว่าพยายามนำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต แต่ว่าหลายคนอาจจะมองข้ามมิติที่ เคยตั้งคำถามไหมว่าอยากได้เงิน 10,000 บาท ไหม ? สมมุติว่าเราเปลี่ยนคำถามว่าถ้าได้เงิน 10,000 อนาคตเรายังมีภาระต้องชำระหนี้ที่เกิดขึ้น 10,000 บวกดอกเบี้ย อีกเท่าไหร่… คำถามสุดท้ายคือ 6 เดือนผ่านไปคนถือเงินคนสุดท้ายจะทำอย่างไรกับเงินนี้ และถ้าการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่แรงพอ เงิน 10,000 บาท ตรงนี้อาจจะทำให้เราแย่ลง ในภาพรวมในอนาคตก็เป็นไปได้เพราะไม่มีอะไรมาบอกเราได้เลยว่าในอนาคตเศรษฐกิจเราจะไม่แย่ลง หากนักการเมืองของเมืองไทยยังสนใจแต่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่า….ประชาชน เรียบเรียงโดย : บ่าวหัวเสือ