วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร หรือที่รู้จักในชื่อเดิมว่า “วัดโชติการาม” เป็นหนึ่งในวัดสำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ที่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองทางศาสนา สถาปัตยกรรม และพลังศรัทธาของชาวล้านนาในอดีต ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ วัดแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนา หากยังมีบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางการปกครองและการเชื่อมโยงความเชื่อของประชาชนในภูมิภาคล้านนา
ชื่อ “วัดโชติการาม” ในอดีตมีตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา บ้างกล่าวว่ามาจากอุบาสกที่ศรัทธาในองค์เจดีย์ ได้จุดประทีปด้วยผ้าชุบน้ำมันจนเกิดแสงโชติช่วง อีกตำนานหนึ่งเล่าว่าชื่อนี้สะท้อนถึงความสูงใหญ่ขององค์เจดีย์ ซึ่งดูเหมือนเชิงเทียนที่สว่างไสว ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดเจดีย์หลวง” อันสะท้อนถึงความใหญ่โตและความสำคัญของเจดีย์
การก่อสร้างวัดเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 1934 โดย พญาแสนเมืองมา กษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์มังราย เพื่ออุทิศพระราชกุศลแด่พระราชบิดา พญากือนา แม้พญาแสนเมืองมาจะสวรรคตก่อนที่การก่อสร้างจะเสร็จสมบูรณ์ แต่ พระนางเจ้าติโลกจุฑาราชเทวี พระมเหสี ได้ดำเนินการก่อสร้างจนแล้วเสร็จ
ในสมัยของ พระเจ้าติโลกราช วัดได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยโปรดให้สร้างเจดีย์เพิ่มเติมในปี พ.ศ. 2022 นายช่างเอก หมื่นด้ามพร้าคต ได้ปรับเจดีย์ให้สูงถึง 80 เมตร โดยได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะพุกามในพม่า ทำให้เจดีย์นี้กลายเป็นหนึ่งในโครงสร้างที่สูงที่สุดในยุคนั้น
องค์เจดีย์หลวงโดดเด่นด้วยฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 60 เมตร ล้อมรอบด้วยรูปปั้นช้าง 28 เชือก โดยเฉพาะ พญาช้าง 8 เชือก ที่เชื่อว่ามีพลังศักดิ์สิทธิ์ในการปกปักรักษาเมือง ชื่อของพญาช้างแต่ละเชือกมีความหมายในเชิงไสยศาสตร์ เช่น
- เมฆบังวัน – ช่วยบดบังศัตรูไม่ให้เห็นทางเข้าสู่เมือง
- ข่มพลแสน – ทำให้กองทัพศัตรูระส่ำระสาย
- ดาบแสนด้าม – ปกป้องจากอาวุธดาบ
- หอกแสนลำ – ป้องกันอาวุธหอก
- ปืนแสนแหล้ง – ต้านการโจมตีด้วยปืน
- หน้าไม้แสนเกี๋ยง – ป้องกันการโจมตีด้วยธนู
- แสนเขื่อนกั้น – สร้างกำแพงพลังขัดขวางกองทัพช้างศัตรู
- ไฟแสนเต๋า – สร้างความร้อนแรงจนศัตรูต้องล่าถอย
พิธีกรรมบูชาพญาช้างเหล่านี้ยังคงสะท้อนถึงความเชื่อในพลังศักดิ์สิทธิ์และความมั่นคงของเมืองเชียงใหม่
เหตุการณ์แผ่นดินไหวและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ในปี พ.ศ. 2088 สมัย พระนางจิรประภาเทวี เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้องค์เจดีย์ที่สูง 80 เมตรหักโค่นเหลือเพียงส่วนฐาน ซึ่งยังปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน แม้จะสูญเสียความงดงามในอดีตไป แต่เจดีย์หลวงยังคงเป็นจุดศูนย์กลางของศรัทธาและประวัติศาสตร์ล้านนา
ในสมัยรัชกาลที่ 5 วัดเจดีย์หลวงกลายเป็นศูนย์กลางของธรรมยุติกนิกายที่เผยแผ่จากกรุงเทพฯ วัดได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการสร้างวิหารหลวงในปี พ.ศ. 2471 วิหารแห่งนี้มีความโดดเด่นด้วยบันไดนาคที่ได้รับการยกย่องว่างดงามที่สุดในเชียงใหม่ ภายในประดิษฐานพระอัฏฐารส พระพุทธรูปสำริดปางห้ามญาติสูง 18 ศอก
ความสัมพันธ์กับครูบาศรีวิชัย
นักวิชาการบางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า ครูบาศรีวิชัยไม่ได้เลือกบูรณะวัดเจดีย์หลวง เนื่องจากวัดนี้เกี่ยวข้องกับธรรมยุติกนิกาย ซึ่งเชื่อมโยงกับอำนาจจากกรุงเทพฯ อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อระบบคณะสงฆ์ดั้งเดิมของล้านนา
โครงการบูรณะครั้งใหญ่ในปัจจุบัน
ในปี พ.ศ. 2533 กรมศิลปากรได้บูรณปฏิสังขรณ์พระเจดีย์หลวง โดยใช้งบประมาณ 35 ล้านบาท เพื่อรักษาความมั่นคงของโครงสร้าง และฟื้นฟูส่วนที่เสียหายจากแผ่นดินไหว อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ได้รับเสียงวิจารณ์ว่าไม่ควรทำให้เจดีย์กลับมาเป็นองค์สมบูรณ์ เพื่อรักษาร่องรอยประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่า
เสาอินทขิล สายใยแห่งศรัทธา
นอกจากมหาเจดีย์ วัดเจดีย์หลวงยังเป็นที่ตั้งของ เสาอินทขิล หรือเสาหลักเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของจักรวาลและพลังศักดิ์สิทธิ์ เป็นสถานที่ที่ชาวเชียงใหม่จัดพิธีบูชาเพื่อขอความสงบสุขให้บ้านเมือง
วัดเจดีย์หลวง มรดกแห่งล้านนา
วัดเจดีย์หลวงยังคงยืนหยัดเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองและศรัทธาของชาวล้านนา แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนผ่าน แต่วัดแห่งนี้ยังคงสะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ ศิลปะ และจิตวิญญาณของชุมชนล้านนา ทำให้เป็นจุดศูนย์รวมจิตใจและแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมที่สำคัญ
วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร คือพุทธสถานที่ไม่เพียงแต่เป็นศูนย์รวมศรัทธา แต่ยังเป็นพยานแห่งความรุ่งเรืองของประวัติศาสตร์ล้านนาที่ส่งต่อความยิ่งใหญ่จากรุ่นสู่รุ่น
ร่วมแสดงความคิดเห็น