ในดินแดนล้านนา ซึ่งอุดมไปด้วยศิลปะและวัฒนธรรมที่งดงาม มีเครื่องดนตรีโบราณที่เป็นเสมือนเสียงแห่งศรัทธาและความเป็นอัตลักษณ์ของผู้คน กลองแอว คือหนึ่งในเครื่องดนตรีที่มีบทบาทสำคัญในประเพณีและวิถีชีวิตของชาวล้านนามาอย่างยาวนาน เสียงของกลองแอวไม่ได้เป็นเพียงแค่จังหวะดนตรี หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์ ความร่วมมือกันของชุมชน และเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น
กลองแอว หรือที่รู้จักในชื่ออื่น ๆ เช่น กลองตึ่งนง กลองตึ่งโนง กลองเปิ้ง หรือกลองตกเส้ง เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องตีที่ขึงด้วยหนังหน้าเดียว โดยได้รับอิทธิพลจากพม่าและชนชาติไทใหญ่ ซึ่งล้วนแต่เป็นกลุ่มชนที่มีวัฒนธรรมดนตรีที่คล้ายคลึงกันกับชาวล้านนา กลองแอวเป็นกลองที่นิยมใช้ในงานบุญ งานแห่ และพิธีกรรมต่าง ๆ ของวัด โดยเฉพาะในขบวนแห่ครัวทาน ปอยหลวง หรือการบวชลูกแก้ว ที่มักจะมีการตีประกอบจังหวะเพื่อสร้างบรรยากาศให้ขับเคลื่อนไปตามประเพณี
ลักษณะของกลองแอวมีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โครงสร้างของกลองทำจากไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้ชิงชัน ไม้ประดู่ หรือไม้แดง ซึ่งเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงและให้เสียงกังวาน หน้ากลองทำจากหนังสัตว์ขึงด้วยเชือกหรือหวายเพื่อความตึงแน่น ขณะที่กลางตัวกลองจะมีลักษณะคอดคล้ายกับสะเอว จึงเป็นที่มาของชื่อ “กลองแอว” คำว่า “แอว” ในภาษาพื้นเมืองเหนือหมายถึงสะเอว ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่ากลองแอวอาจหมายถึงกลองที่มีรูปร่างเหมือนสะเอว หรืออาจหมายถึงกลองที่ใช้สะพายพาดสะเอวเวลาตี
ในบางพื้นที่ เช่น ที่ตำบลทุ่งโฮ้ง จังหวัดแพร่ มีกลองแอวที่มีขนาดเล็กลงจากกลองแอวทั่วไป มีความยาวเพียง 90 เซนติเมตร ซึ่งสามารถใช้สะพายเข้าสะเอวได้โดยตรง เวลาบรรเลงมักเล่นร่วมกับกลองตะหลดปดและฆ้อง เพื่อให้เกิดจังหวะที่สนุกสนานและมีพลังในการประกอบการฟ้อนเมือง
การเล่นกลองแอวมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากกลองชนิดอื่น หากเป็นการตีในขบวนแห่หรือการเคลื่อนที่ จะต้องมีผู้หามกลองสองคนเพื่อพยุงตัวกลองและช่วยให้ผู้ตีสามารถบรรเลงได้สะดวก แต่หากเป็นการตีอยู่กับที่ กลองแอวจะถูกตั้งบนขาตั้งและตีด้วยไม้เป็นจังหวะสม่ำเสมอ โดยจังหวะของกลองจะเป็นตัวกำหนดท่วงท่าของการฟ้อนเมือง ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงที่งดงามของชาวล้านนา กลองแอวไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ในงานรื่นเริง แต่ยังมีบทบาทสำคัญในพิธีกรรมทางศาสนาและความเชื่อของชุมชน เสียงกลองที่ดังขึ้นในงานบุญเป็นเสมือนเสียงเรียกแห่งศรัทธา ที่ชักนำให้ผู้คนเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาอย่างพร้อมเพรียงกัน ในอดีต เชื่อกันว่าเสียงกลองเป็นเสียงที่สามารถเชื่อมโยงระหว่างโลกมนุษย์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และยังใช้เพื่อประกาศข่าวสารหรือเตือนภัยให้กับชุมชนอีกด้วย
นอกจากความสำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรมแล้ว กลองแอวยังเป็นตัวแทนของเอกลักษณ์ทางดนตรีของแต่ละท้องถิ่น โดยมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปตามสำเนียงและลักษณะของเสียงกลองที่ได้ยิน ในจังหวัดเชียงใหม่ มักเรียกว่ากลองตึ่งนง หรือกลองตึ่งโนง เนื่องจากเสียงที่เกิดขึ้นเมื่อบรรเลงร่วมกับฆ้องใหญ่และฆ้องหุ่ย ในจังหวัดลำพูน นิยมเรียกว่ากลองเปิ้ง หรือกลองเปิ้งมง ซึ่งเป็นเสียงที่เกิดจากการตีสลับกับฆ้อง ในขณะที่จังหวัดลำปางเรียกกลองชนิดนี้ว่ากลองตกเส้ง หรือกลองตบเส้ง ซึ่งเป็นการตั้งชื่อตามเสียงที่ได้ยินจากการเล่นร่วมกับฉาบและฆ้อง
แม้ว่าในปัจจุบันความนิยมของกลองแอวอาจลดลงจากเดิม เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมและความเจริญของดนตรีสมัยใหม่ แต่กลองแอวยังคงเป็นเครื่องดนตรีที่มีความสำคัญต่อวัฒนธรรมพื้นเมือง โดยเฉพาะในงานบุญงานแห่ของภาคเหนือ ชุมชนบางแห่งยังคงสืบทอดการทำและการเล่นกลองแอวให้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อให้ศิลปะดนตรีล้านนาไม่เลือนหายไปตามกาลเวลา
ปัจจุบัน มีความพยายามในการอนุรักษ์กลองแอวผ่านการสอนดนตรีพื้นเมืองในโรงเรียน การจัดการแสดงในเทศกาลวัฒนธรรม และการบันทึกเสียงดนตรีพื้นเมืองเพื่อเก็บรักษาไว้เป็นมรดกทางวัฒนธรรม กลองแอวจึงไม่ใช่เพียงแค่เครื่องดนตรี แต่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นล้านนา เป็นเสียงแห่งประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตที่สะท้อนถึงความร่วมแรงร่วมใจของชุมชน เสียงกลองแอวที่ดังกังวานในขบวนแห่และพิธีกรรมของล้านนา ไม่เพียงแต่เป็นเสียงของดนตรี แต่เป็นเสียงของประเพณี ศรัทธา และรากเหง้าที่สืบทอดกันมา เสียงกลองนี้จะยังคงก้องกังวานในหัวใจของชาวล้านนา และเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การรักษาและสืบทอดต่อไป
ที่มา : https://musicbiw.blogspot.com/2015/11/blog-post_47.html , https://library.payap.ac.th/webin/ntic/musician/bg3/abundant/abundant/k_L.pdf
รูปภาพจาก : https://artsandculture.mju.ac.th/wtms_newsDetail.aspx?nID=10334&lang=th-TH
ร่วมแสดงความคิดเห็น