มรดกศิลปะการแสดงล้านนา “ฟ้อนเงี้ยว”

ในวงการศิลปะการแสดงของภาคเหนือ “ฟ้อนเงี้ยว” หรือที่รู้จักในชื่อ “ฟ้อนเงี้ยวเมือง” ถือเป็นหนึ่งในศิลปะการแสดงที่มีเอกลักษณ์และความงดงามสูงสุด เป็นการฟ้อนรำที่ได้รับอิทธิพลจากชาวไทยใหญ่ หรือ “เงี้ยว” ซึ่งอาศัยอยู่ในรัฐฉานของประเทศเมียนมา การแสดงนี้สะท้อนให้เห็นถึงการผสมผสานของวัฒนธรรมที่มีมาตั้งแต่โบราณ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับอาณาจักรล้านนา ซึ่งมีอิทธิพลต่อการพัฒนาและการดำรงอยู่ของฟ้อนเงี้ยวจนถึงปัจจุบัน

ฟ้อนเงี้ยวเป็นศิลปะการแสดงที่มีการใช้ท่ารำที่สวยงามและมีชีวิตชีวา ซึ่งมักใช้ในการเฉลิมฉลองงานบุญ งานประเพณี และเทศกาลต่าง ๆ ของชาวล้านนา ด้วยลีลาท่ารำที่นุ่มนวลและความสนุกสนานในการแสดง ฟ้อนเงี้ยวจึงกลายเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ชาวล้านนา ทั้งในเชียงใหม่และทั่วภาคเหนือ

อย่างไรก็ตาม ฟ้อนเงี้ยวในรูปแบบที่เราเห็นในปัจจุบันได้รับการปรับปรุงและพัฒนาให้มีความประณีตมากขึ้นจากพระราชชายา เจ้าดารารัศมี พระชายาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์และพัฒนาศิลปะการแสดงล้านนาให้คงอยู่ และเป็นที่รู้จักในวงกว้าง พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงฟ้อนเงี้ยวให้เป็นรูปแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยยังคงรักษาท่ารำดั้งเดิมเอาไว้ พร้อมทั้งเสริมสร้างองค์ประกอบใหม่ ๆ จากนาฏศิลป์ไทยเพื่อเพิ่มความงดงามยิ่งขึ้น

ต้นกำเนิดของฟ้อนเงี้ยว จากการละเล่นพื้นบ้านสู่ศิลปะการแสดงล้านนา
ฟ้อนเงี้ยวมาจากการฟ้อนเล่นของชาวไทใหญ่ หรือ “เงี้ยว” ซึ่งมีถิ่นฐานอยู่ในรัฐฉานของเมียนมา รวมทั้งในภาคเหนือของประเทศไทย การฟ้อนรำนี้เริ่มต้นจากการแสดงในงานเทศกาลต่าง ๆ เช่น งานบุญปอยหลวง หรือการแห่ครัวทาน ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญที่ชุมชนจะได้มาร่วมกันเฉลิมฉลองและแสดงออกถึงความเป็นชุมชนที่มีชีวิตชีวาและขับเคลื่อนด้วยความร่วมมือ

ในช่วงแรก การฟ้อนเงี้ยวเป็นการแสดงที่จัดโดยผู้ชายเป็นหลัก ท่าทางการรำกระฉับกระเฉงและเต็มไปด้วยพลัง ในลักษณะที่แสดงออกถึงความมีชีวิตชีวาและความแข็งแกร่งของเพศชาย แต่เมื่อฟ้อนเงี้ยวเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น การนำผู้หญิงเข้ามาร่วมแสดงก็ได้เพิ่มความอ่อนช้อยและสวยงามให้กับการแสดงนี้มากยิ่งขึ้น

พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ผู้ให้กำเนิดฟ้อนเงี้ยวเมือง เมื่อฟ้อนเงี้ยวได้รับความนิยมในเชียงใหม่ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ทรงเห็นถึงคุณค่าของฟ้อนเงี้ยวและความสำคัญของศิลปะการแสดงนี้ในการสะท้อนถึงเอกลักษณ์ของล้านนา พระองค์ทรงมีพระดำริให้ปรับปรุงฟ้อนเงี้ยวให้มีแบบแผนที่ชัดเจนและเป็นระบบขึ้น แต่ยังคงรักษาลีลาท่ารำแบบดั้งเดิมไว้ พระราชชายา ทรงมอบหมายให้ครูหลง บุญจูหลง ครูฟ้อนประจำคุ้มหลวง และเจ้าสุนทร ณ เชียงใหม่ เป็นผู้ดูแลการปรับปรุงทำนองเพลงและท่ารำ สำหรับการแสดงฟ้อนเงี้ยว โดยการนำทำนองเพลงพื้นบ้านของชาวไทใหญ่มาใช้และเพิ่มคำร้องใหม่ที่เป็นการผสมผสานภาษาทั้งไทยและไทใหญ่เข้าด้วยกัน

รูปแบบและลีลาการฟ้อนเงี้ยว
ฟ้อนเงี้ยวเป็นการแสดงที่มีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งการแสดงจะประกอบด้วยคู่ชายและหญิง หรือบางครั้งอาจจะใช้ผู้หญิงล้วน โดยจะมีท่าทางการรำที่สอดคล้องกับเนื้อเพลงและจังหวะของดนตรี การฟ้อนเงี้ยวเน้นที่ความกระฉับกระเฉงและสนุกสนาน ท่วงท่าของการฟ้อนเงี้ยวจึงต่างจากฟ้อนชนิดอื่น เช่น ฟ้อนเทียนหรือฟ้อนเล็บ ซึ่งเน้นที่ความสง่างามและท่าทางที่ละเอียดอ่อน ฟ้อนเงี้ยวจึงเน้นที่การสร้างความสนุกสนาน เช่น ท่าตบมือ ซึ่งแสดงถึงความรื่นเริง ท่าส่ายสะโพกที่สื่อถึงความมีชีวิตชีวา และท่ากระทบมือเป็นจังหวะเพื่อสร้างความพร้อมเพรียงในกลุ่มการแสดง

เครื่องแต่งกายของผู้แสดงฟ้อนเงี้ยวได้รับอิทธิพลจากเครื่องแต่งกายของชาวไทใหญ่ แต่ได้มีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับการแสดง โดยมีทั้งแบบดั้งเดิมและแบบที่ได้รับการพัฒนาจากพระราชชายา เจ้าดารารัศมี เครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมของชาวไทใหญ่ประกอบด้วยเสื้อคอกลมแขนกระบอก โสร่งสั้นเพียงเข่าหรือกางเกงขากว้าง ผ้าโพกศีรษะและผ้าคาดเอว รวมทั้งเครื่องประดับต่าง ๆ เช่น กำไลมือ กำไลเท้า และตุ้มหู ส่วนแบบที่ได้รับการประดิษฐ์ขึ้นในยุคของพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ได้แก่ เสื้อแขนยาว คอจีน ผ่าอก ผ้าโสร่งแบบโจงกระเบน และผ้าคาดเอวพร้อมดอกไม้ เป็นการสร้างความสวยงามที่น่าจดจำให้กับการแสดงฟ้อนเงี้ยว

ฟ้อนเงี้ยวในปัจจุบันยังคงได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง โดยมีการถ่ายทอดและอนุรักษ์ผ่านการสอนจากครูฟ้อนรุ่นเก่าจนถึงครูฟ้อนรุ่นใหม่ ฟ้อนเงี้ยวได้รับการเผยแพร่ในสถาบันการศึกษาหลายแห่ง และยังคงเป็นส่วนหนึ่งของงานประเพณีสำคัญต่าง ๆ ของภาคเหนือ เช่น งานประเพณียี่เป็ง งานปอยหลวง และเทศกาลสงกรานต์เชียงใหม่

ฟ้อนเงี้ยวจึงไม่เพียงแค่เป็นศิลปะการแสดงที่สนุกสนาน แต่ยังสะท้อนถึงรากเหง้าและเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวล้านนาและไทใหญ่ การสืบทอดและอนุรักษ์ฟ้อนเงี้ยวจึงเป็นภารกิจที่สำคัญ เพื่อให้ศิลปะแขนงนี้ยังคงอยู่และเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ล้านนาไปอีกนานเท่านาน

ที่มา : https://lannainfo.library.cmu.ac.th/lannadancing/article/30 , https://skp.ac.th/ONet/306/northern/www/art.html , https://www.lampangluang-lp.go.th/filesAttach/document/1695033453.pdf

รูปภาพจาก : https://lannainfo.library.cmu.ac.th/lannadancing/article/30

ร่วมแสดงความคิดเห็น