หอการค้าจังหวัดน่าน ผุดไอเดียโครงการโคบาลล้านนา ส่งเสริมการเลี้ยงและสร้างโรงชำแหละโคเนื้อ เพื่อส่งออก
เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2565) ที่ศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ ตำบลผาสิงห์ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน นายศรีรุ่ง รัตนศิลา ประธานหอการค้า จังหวัดน่าน นายสมบัติ ชินสุขเสริม ประธานหอการค้าภาค (17 จังหวัดภาคเหนือ) ประชุมหารือความเป็นไปได้ที่จะผลักดันจังหวัดน่านเป็นประตูส่งออกโคเนื้อไปยังประเทศบ้าน โดยมีนายสิทธิพร บุรณนัฎ ผู้จัดการเครือข่ายโคเนื้อ ผู้แทนสมาคมโคเนื้อแห่งประเทศไทย และรองศาสตราจารย์ ดร. เกชา คูหา รองคณะบดีคณะวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเกษตรล้านนา จังหวัดน่าน และผู้แทนภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่วมหารือและวางแนวทางให้เกิดความร่วมมือทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน

นายศรีรุ่ง รัตนศิลา ประธานหอการค้าจังหวัดน่าน กล่าวว่า ปัจจุบันโคเนื้อกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด แต่ยังขาดการลงทุน ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำอย่างเป็นระบบ ส่วนใหญ่จะเป็นการผลิตและจำหน่ายในระดับท้องถิ่น ซึ่งยังขาดการสื่อสารผู้ประสานงานหลักในการทำตลาดไปสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้โดยตรง

จังหวัดน่านมีผู้ประกอบการรายย่อยเลี้ยงโคเนื้ออยู่ประมาณ 60,000 ตัว และมีโคที่เกิดประมาณปีละ 10,000 ตัว ส่วนมากเป็นโคพันธุ์ยุโรปผสมบรามัน ชาโลเล่ นำส่งโรงเชือดมาตรฐานที่มหาวิทยาลัยเกษตรแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงต้นทุนที่สูงขึ้นได้ จากจำนวนโคเนื้อที่มีอยู่ในจังหวัดน่าน หากได้รับการสนับสนุนส่งเสริมอย่างเป็นระบบในลักษณะรูปแบบฟาร์ม ก็จะมีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะต้องมีโรงเลี้ยงและพื้นที่สำหรับผลิตแหล่งอาหาร โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกหญ้าอย่างเพียงพอก็จะสามารถสนับสนุนปัจจัยอื่นๆให้เกิดขึ้นได้ การสร้างโรงเชือดมาตรฐานจึงเป็นเรื่องจำเป็น ที่จะต้องซึ่งอาจจะใช้งบประมาณถึง 30 ล้านบาท ซึ่งหอการค้าจังหวัดน่าน จะศึกษาข้อมูลความเป็นไปได้ประกอบการพิจารณาจัดทำโครงการโคบาลล้านนา บรรจุเข้าแผนพัฒนาจังหวัด กลุ่ม 2 (น่าน พะเยา แพร่ เชียงราย) โดยกำหนดให้จังหวัดน่านเป็นศูนย์กลาง ชำแหละและส่งออก โดยการสร้างโรงเชือดมาตรฐานการรองรับการเลี้ยงโคเนื้อของเกษตรกร ในพื้นที่ดังกล่าวได้ ปัจจุบันสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ให้โควต้าการนำเข้าโคเนื้อจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) จำนวน 500,000 ตัว แต่ สปป.ลาว มีศักยภาพในการส่งออกได้ปีละไม่เกิน 2,000 ตัว จึงอยากให้นักลงทุนไทยได้ใช้ศักยภาพที่มีอยู่ไปลงทุนใน สปป.ลาว ซึ่งหอการค้าจังหวัดน่านจะได้ศึกษาและประสานความร่วมมือในการลงทุนเพื่อให้เกิดห่วงโซ่อุปทานต่อไป





ร่วมแสดงความคิดเห็น