ข้าวไทยมาแรง หลังราคาข้าวโลกดันพุ่งทะยานในรอบ 12 ปี

ถือเป็นข่าวที่น่าจับตา เมื่อดัชนีราคาข้าวทั่วโลกพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 12 ปี โดยเฉพาะดัชนีราคาข้าวในประเทศไทยที่พุ่งขึ้นแรงสุด มีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลให้ราคาข้าวเพิ่มสูงขึ้น และภาครัฐของไทยได้มีการวางแผนรับมือสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นแล้วหรือไม่ ?

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมา องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้รายงานว่า ดัชนีราคาข้าวทั่วโลกในเดือนกรกฎาคมพุ่งขึ้น ร้อยละ 2.8 มาอยู่ระดับที่ 129.7 จุด ซึ่งปรับขึ้นจากปีที่แล้วอยู่ที่ร้อยละ 19.7 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2554 นอกจากนี้ FAO ยังเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ราคาข้าวที่พุ่งขึ้นรุนแรงสุดนั้น มาจากประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 2 ของโลก โดยในช่วงสองสัปดาห์นี้ ราคาเฉลี่ยเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ข้าว 100% เกรด B (ข้าวขาว 100% ชั้น 2 ) ของไทย อยู่ที่ 562 เหรียญสหรัฐฯ ต่อตัน ปรับขึ้นจากเดิม 38 เหรียญสหรัฐฯ ถือเป็นราคาข้าวสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

โดยปัจจัยสำคัญที่ดันราคาข้าวโลกให้สูงขึ้นนั้น คือสภาพอากาศแปรปรวนจากปรกฏการณ์เอลนีโญ ที่กระทบต่อการเพาะปลูกข้าวในบางประเทศ เช่นเวียดนาม ที่เผชิญปัญหาคุณภาพข้าวไม่คงที่ในช่วงระหว่างการเก็บเกี่ยว และยังส่งผลให้อินเดีย ผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก ได้ประกาศห้ามส่งออกข้าวขาวยกเว้นข้าวพันธุ์บาสมาติ ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อสร้างหลักประกันว่าจะมีปริมาณข้าวเพียงต่อการบริโภคในประเทศ

ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว ได้ส่งผลดีต่อการส่งออกข้าวไทยในขณะนี้ โดย ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ได้รายงานว่า จากการที่อินเดียระงับการส่งออกข้าวขาวในขณะนี้ ถือเป็นโอกาสทองของข้าวไทย โดยเฉพาะตลาดในแอฟริกา โดยจากตัวเลข 7 เดือนที่ผ่านมา ประเทศไทยส่งออกข้าวไปแล้วกว่า 4.8 ล้านตัน คาดว่าภายในปีนี้จะสามารถส่งออกข้าวไทยเกินกว่า 8 ล้านตัน

แม้ว่าราคาข้าวที่สูงขึ้นในขณะนี้ จะส่งผลดีต่อการส่งออกข้าวไทย  แต่ขณะเดียวกัน หลายฝ่ายกังวลว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารโลก จากภาวะอากาศแปรปรวนในขณะนี้ ซึ่งจะกระทบต่อภาคการเกษตรในหลายประเทศ รวมทั้งในไทย

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แถลงผลการประชุมการประชุมติดตามสถานการณ์ภัยแล้ง การผลิต และการตลาดสินค้าเกษตร ว่า ขณะนี้ได้มีการวางแผนควบคุมราคาข้าวสารในประเทศเพื่อไม่ให้แพงเกินที่ผู้บริโภคจะรับได้ ในกรณีที่ราคาข้าวสารปรับเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต 

นอกจากนี้ยังได้มีการตั้งปลัดกระทรวงพาณิชย์ เพื่อนัดหมาย หารือ และติดตามสถานการณ์ภัยแล้งจากเอลนีโญ เพื่อประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาคการเกษตรของไทย โดยจะมีการรายงานผลให้กระทรวงพาณิชย์ทราบทุก 1-2 สัปดาห์ 

สถานการณ์ราคาข้าวในปัจจุบัน ถือเป็นอีกความท้าทายของทางภาครัฐและผู้ประกอบการ ที่จะฉวยโอกาสคว้าประโยชน์ในช่วงที่ข้าวไทยกำลังเป็นที่ต้องการในตลาดโลก ในขณะเดียวกัน สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง ยังถือเป็นปัจจัยสำคัญที่หลายฝ่ายต้องจับตามอง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อภาคการเกษตร ไม่ให้เสียหายมากขึ้น 

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ , คมชัดลึก , สำนักข่าวอินโฟเควสต์

ร่วมแสดงความคิดเห็น