ข่าวบิดเบือน เตรียมขึ้นค่าไฟ 28 เท่า ก.ย.

ข่าวบิดเบือน เตรียมขึ้นค่าไฟ 28 เท่า ในเดือนกันยายน

วันที่ 26 ส.ค. 65 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการยืนยันว่าเป็นข่าวบิดเบือน เพิ่มเติม 1 กรณีคือ

กรณีที่มีข่าวปรากฏตามสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องเตรียมขึ้นค่าไฟ 28 เท่า ในเดือนกันยายน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กระทรวงพลังงาน พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลบิดเบือน

จากกรณีที่มีข้อมูลระบุว่าเตรียมขึ้นค่าไฟ 28 เท่า ในเดือนกันยายน 65 ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กระทรวงพลังงาน ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าที่ประชุม กกพ. มีมติให้ปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าในรอบเดือนกันยายน – ธันวาคม 65 ให้สะท้อนต้นทุนประมาณการในรอบการคิดค่าเอฟทีดังกล่าวเท่านั้น โดยยังไม่พิจารณาจ่ายคืนภาระทางการเงินของ กฟผ. ที่แบกรับต้นทุนกว่า 100,000 ล้านบาท (ในปัจจุบัน) ตามข้อเสนอของ กฟผ. ในหนังสือ กฟผ. S21300/45560 ลงวันที่ 27 มิถุนายน 2565 ที่ต้องการแบ่งเบาภาระประชาชนในช่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด 19 ซึ่งจะทำให้เอฟทีปรับเพิ่มขึ้นอีก 68.66 สตางค์ต่อหน่วย ดังนั้น ค่าเอฟทีที่เรียกเก็บในรอบเดือนกันยายน – ธันวาคม 2565 จะเท่ากับ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งรวมกับค่าไฟฟ้าแล้ว เพิ่มเป็น 4.72 บาทต่อหน่วย ซึ่งไม่ใช่การขึ้นค่าไฟ 28 เท่า แต่อย่างใด

ดังนั้นข้อมูลที่มีการโพสต์ และแชร์ต่อในขณะนี้ จึงเป็นข้อมูลบิดเบือน ขอความร่วมมือประชาชน ไม่แชร์ ไม่ส่งต่อข่าวดังกล่าว เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น  และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ หรือโทร. 1204

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ค่า FT ที่เก็บในเดือนก.ย. – ธ.ค. 65 จะเท่ากับ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย รวมกับค่าไฟแล้ว เพิ่มเป็น 4.72 บาทต่อหน่วย ซึ่งไม่ใช่การขึ้นค่าไฟ 28 เท่า แต่อย่างใด

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า การผลิตข่าวปลอม สร้างข่าวบิดเบือน ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ประชาชนสับสน เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2),(5) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่ทุกรายอย่างเด็ดขาดจริงจังและต่อเนื่องต่อไป
ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบข้อมูลการกระทำผิด สามารถแจ้งเบาะแสข่าวผ่าน
5 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com, เฟซบุ๊ก ANTI-FAKE NEWS CENTER, ทวิตเตอร์ @AFNCThailand, ไลน์ @antifakenewscenter, ช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 และสายด่วน 1599 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”

ร่วมแสดงความคิดเห็น