“ตุงล้านนา” ธงแห่งศรัทธาและมรดกทางวัฒนธรรมของชาวเหนือ

ในประวัติศาสตร์ล้านนา “ตุง” หรือ “ธงแบบแขวน” ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญที่สะท้อนถึงความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมายาวนาน ตุงล้านนาไม่ได้เป็นเพียงของตกแต่งในงานพิธี แต่ยังเป็นเครื่องแสดงความศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา รวมถึงเป็นตัวแทนของความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษและผู้ล่วงลับ ความเชื่อเหล่านี้ถูกเล่าขานผ่านตำนานและประเพณีต่าง ๆ มาหลายชั่วอายุคน “ตำนานกาเผือก” จุดเริ่มต้นของคติความเชื่อเรื่องตุง ตำนานที่ชาวล้านนาเล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับการทานตุงเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับ คือเรื่องของ “กาเผือก” ที่ออกไข่ 5 ฟองและสูญหายไปจากรัง เนื่องจากลมพายุ ไข่ทั้ง 5 ฟองถูกสัตว์และมนุษย์นำไปเลี้ยงจนกลายเป็นชายหนุ่ม ทั้งห้าบวชจนสำเร็จญาณ และได้สร้างตุงเพื่ออุทิศให้ผู้ให้กำเนิด แต่ไม่อาจส่งถึงวิญญาณของกาเผือก จนต้องสร้าง “ประทีปรูปตีนกา” เพื่อส่งผลบุญถึงผู้ล่วงลับ จากตำนานนี้ ชาวล้านนาเชื่อว่าการทำตุงและประทีปสามารถช่วยอุทิศส่วนบุญกุศลถึงวิญญาณของผู้ล่วงลับได้ รวมถึงเชื่อว่า “วิญญาณผู้ตาย” สามารถปีนป่ายตุงขึ้นสู่สรวงสวรรค์ได้ ความเชื่อและอานิสงส์จากการทานตุง การถวายตุงถูกยกย่องว่าเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ที่ช่วยให้ผู้ทำบุญหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร ตัวอย่างหนึ่งของความเชื่อดังกล่าวคือเรื่องของนายพรานผู้ทำตุงถวายวัด แม้เขาจะทำบาปจากการล่าสัตว์มาทั้งชีวิต แต่ตุงที่เขาถวายกลับกลายเป็นเครื่องช่วยดึงเขาขึ้นจากนรกให้สู่สวรรค์ได้ ตุงล้านนา วัตถุประสงค์และประเภท ตุงในล้านนาใช้ในพิธีกรรมหลากหลาย ทั้งในงานมงคลและอวมงคล โดยตุงแต่ละชนิดมีความหมายแตกต่างกัน เช่น ตุงล้านนาในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงและการอนุรักษ์ แม้ตุงจะยังคงถูกใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ แต่การใช้งานเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม โดยตุงบางชนิดถูกนำไปใช้เป็นของตกแต่งสถานที่เพื่อความสวยงาม โดยขาดความเข้าใจในความหมายและคุณค่าทางวัฒนธรรม เพื่ออนุรักษ์ศิลปะและภูมิปัญญาล้านนา การเรียนรู้และส่งต่อความหมายของตุงล้านนาให้กับคนรุ่นใหม่จึงมีความสำคัญ ผู้เขียนจึงอยากเห็นการนำตุงล้านนาเข้ามาใช้ในวิถีชีวิตอย่างถูกต้องและสอดคล้องกับยุคสมัยใหม่ […]

ดอกปีบ (กาสะลอง) ความงามที่ซ่อนเร้นในตำนานและการแพทย์โบราณ

ดอกปีบ หรือ “กาสะลอง” ไม้ดอกสีขาวบริสุทธิ์ที่มีกลิ่นหอมจรุงใจ กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและศรัทธาของชาวล้านนา ด้วยความเชื่อ ความศักดิ์สิทธิ์ และคุณประโยชน์ทางยา ดอกไม้นี้จึงถูกนำมาใช้ในหลากหลายพิธีกรรม รวมถึงการแพทย์แผนโบราณและประเพณีพื้นบ้าน สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติและวิถีชีวิตของชาวล้านนามาอย่างยาวนาน ดอกปีบ สายสัมพันธ์ทางศาสนาและความเชื่อ ในคัมภีร์ “ทุติยมาลัย” ซึ่งเล่าถึงเหตุการณ์ที่พระมาลัยขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และพบพระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ พระมาลัยได้ถามถึงวิธีการที่มนุษย์ควรปฏิบัติเพื่อได้เกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าในอนาคต พระโพธิสัตว์ตอบว่า ผู้ปรารถนาจะได้พบพระองค์ควรฟังเทศน์มหาเวสสันดรชาดก 1,000 คาถาให้จบในวันเดียว พร้อมถวายเครื่องบูชา ได้แก่ ประทีปพันดวง ดอกบัวพันหนึ่ง ดอกนิลุบล ดอกผักตบ และดอกกาสะลองพันหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ ดอกกาสะลองจึงมีบทบาทสำคัญในประเพณี “ตั้งธรรมหลวง” ซึ่งเป็นการฟังเทศน์มหาชาติในช่วงประเพณียี่เป็งหรือเทศกาลลอยกระทงของชาวล้านนา ชาวบ้านจะนำดอกกาสะลองมาจัดเรียงเป็นแผงไม้ไผ่แขวนประดับรอบธรรมาสน์ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและเพิ่มความงดงามให้กับสถานที่ประกอบพิธี ตำนานแห่งดอกไม้จากสรวงสวรรค์ ชาวล้านนามีความเชื่อว่าดอกกาสะลองเป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า “ดอกปาริชาต” ซึ่งเป็นดอกไม้จากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ กลิ่นหอมเย็นของดอกกาสะลองไม่เพียงแต่มอบความรื่นรมย์ในโลกมนุษย์ แต่ยังเชื่อว่าส่งกลิ่นจรุงใจไปถึงสวรรค์ชั้นพรหมและยมโลก นอกจากนี้ ดอกกาสะลองยังถูกนำมาใช้บูชาพระแม่ธรณี ด้วยความเชื่อว่าดอกไม้นี้มีคุณค่าทางจิตวิญญาณและสามารถชำระล้างสิ่งอัปมงคลได้ สรรพคุณทางยา มรดกจากการแพทย์โบราณ ดอกปีบไม่ได้เป็นเพียงเครื่องบูชาทางศาสนา แต่ยังเป็นสมุนไพรที่ทรงคุณค่าในตำรายาโบราณ โดยเฉพาะในล้านนา สมัยก่อนมีการนำดอกปีบมาตากแห้ง เคล้ากับเส้นยาสูบ มวนเป็นบุหรี่เพื่อสูบ ซึ่งช่วยบรรเทาอาการหอบหืดและทำให้หายใจโล่งขึ้น สรรพคุณนี้สอดคล้องกับการศึกษาสมัยใหม่ที่พบว่าสารฮีสปิฟูลินในดอกปีบมีฤทธิ์ช่วยขยายหลอดลม นอกจากนี้ รากของต้นปีบยังถูกนำมาใช้เป็นยาบำรุงปอดและรักษาวัณโรค […]

บัวตอง ความงามที่กลายเป็นประเด็น ในประวัติศาสตร์สิ่งแวดล้อมไทย

ดอกบัวตอง ซึ่งเป็นไม้ดอกสีเหลืองสดใส ที่เปลี่ยนภูเขาหลายแห่งในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้กลายเป็นทิวทัศน์อันตระการตาในฤดูหนาวทุกปี กลายมาเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการท่องเที่ยวในพื้นที่ ทุ่งดอกบัวตองดอยแม่อูคอ อำเภอขุนยวม ได้รับการโปรโมตให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความสำคัญระดับประเทศผ่านโครงการ “มหัศจรรย์เมืองไทย 12 เดือน 7 ดาว 9 ตะวัน” ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ดอกบัวตองกลับมีประวัติความเป็นมาที่โยงไปถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่อาจจะส่งผลกระทบระยะยาวในระบบนิเวศของไทย ความเป็นมาของบัวตองในไทย ดอกบัวตอง (Tithonia diversifolia) มีต้นกำเนิดจากภูมิภาคอเมริกากลาง โดยเฉพาะในเม็กซิโกและคิวบา และถูกนำเข้ามาในประเทศไทย ในฐานะพืชประดับและพืชป้องกันการชะล้างดิน ก่อนที่จะกลายมาเป็นสัญลักษณ์สำคัญของจังหวัดแม่ฮ่องสอน พืชชนิดนี้สามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีแสงแดดจัดและดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ทำให้ขยายตัวอย่างรวดเร็วในพื้นที่ภูเขาภาคเหนือ ดอกบัวตองเริ่มได้รับความสนใจ ในฐานะสถานที่ท่องเที่ยวครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 2520 เมื่อชุมชนในแม่ฮ่องสอนจัดเทศกาลบัวตองบาน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ต่อมาทุ่งดอกบัวตองที่ดอยแม่อูคอได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นจุดชมวิวสำคัญ โดยในทุกเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศเดินทางมาชมความงดงามของทุ่งดอกไม้สีทอง ซึ่งกลายมาเป็นฤดูกาลที่สร้างรายได้หลักของจังหวัด บัวตองในฐานะ “พืชต่างถิ่น” แม้ว่าดอกบัวตองจะมีความงดงาม และสร้างรายได้ให้กับชุมชนท้องถิ่น แต่ประวัติศาสตร์ของพืชชนิดนี้ ไม่ได้มีเพียงด้านบวก ดอกบัวตองได้รับการจัดให้เป็น “ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกราน” (Invasive Alien Species) ในรายการของฐานข้อมูลชนิดพันธุ์รุกรานระดับโลก (Global Invasive Species Database […]

“กุหลาบพันปี” ราชินีแห่งอินทนนท์ ดอกไม้ล้ำค่ากลางขุนเขา

กุหลาบพันปี หรือ Rhododendron arboreum ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ราชินีแห่งอินทนนท์” ที่หลายคนเฝ้ารอชื่นชมความงาม ซึ่งเริ่มเบ่งบานตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนจนถึงกุมภาพันธ์ของทุกปี ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละปี เมื่อถึงฤดูกาลดอกไม้ชนิดนี้จะบานสะพรั่งกลางอุทยานแห่งชาติอินทนนท์ สะกดสายตาผู้มาเยือนท่ามกลางขุนเขาและบรรยากาศอันหนาวเย็น ตำนานของ “คำแดง” ชื่อ “กุหลาบพันปี” ในภาษาไทย สื่อถึงความงดงามของดอกที่คล้ายกุหลาบ ประกอบกับลำต้นที่มักปกคลุมด้วยมอส ดูราวกับมีอายุยืนยาวนับพันปี คนท้องถิ่นเรียกดอกไม้นี้ว่า “คำดอย” หรือ “คำแดง” ซึ่งหมายถึงพืชที่มีดอกสีแดงสดใส โดยกุหลาบพันปีจัดเป็นไม้ยืนต้นเฉพาะถิ่น พบได้ในพื้นที่สูงของภาคเหนือประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณดอยอินทนนท์ที่สูงจากระดับน้ำทะเลราว 2,500 เมตร กุหลาบพันปีเติบโตได้ดีในป่าดิบชื้นที่มีอากาศเย็นตลอดปี ความงดงามของดอกไม้ชนิดนี้ทำให้มันกลายเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาสัมผัสธรรมชาติบนยอดดอย การอนุรักษ์และความพยายามฟื้นฟู ในอดีต จำนวนของกุหลาบพันปีเคยมีมากกว่านี้ แต่ไฟป่าที่เกิดขึ้นในหลายช่วงเวลากลับสร้างความเสียหายอย่างรุนแรง ทำให้จำนวนของต้นไม้ชนิดนี้ลดลง ทางอุทยานแห่งชาติอินทนนท์และมูลนิธิโครงการหลวงจึงได้ร่วมมือกันวิจัยและขยายพันธุ์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 จนถึงปัจจุบัน โดยมีการปลูกและจัดแสดงในสวนพฤกษศาสตร์เพื่อฟื้นฟูประชากรดอกไม้ล้ำค่านี้ ในปัจจุบัน มีการค้นพบกุหลาบพันปีในอุทยานฯ รวมถึงพันธุ์สีแดง 2 สายพันธุ์ และสีขาว 4 สายพันธุ์ นักท่องเที่ยวสามารถชมความงดงามของมันได้ตามเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติที่ร่มรื่น โดยบางจุดมีต้นกุหลาบพันปีขึ้นหนาแน่น ชูดอกสีแดงสดแข่งกับสายลมหนาว เสน่ห์ที่ยั่งยืน กุหลาบพันปีไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความงดงามของธรรมชาติ แต่ยังสะท้อนถึงความเปราะบางของระบบนิเวศที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ […]

“ชามตราไก่” รากเหง้าจีน สู่มรดกศิลปะเครื่องปั้นแห่งลำปาง

ชามตราไก่ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งศิลปะเครื่องปั้นดินเผาของจังหวัดลำปาง ที่มีรากเหง้ามาจากชาวจีนโพ้นทะเลซึ่งเข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทย และค้นพบว่าดินที่อำเภอแจ้ห่ม จังหวัดลำปาง มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในการผลิตเซรามิก ส่งผลให้ชามตราไก่กลายเป็นสินค้าเด่นของพื้นที่ตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 จุดกำเนิดชามตราไก่ในลำปาง ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2500 กลุ่มชาวจีนจากเมืองไท้ปู 4 คน ได้แก่ นายซิมหยู (โรงงานธนบดีสกุลในปัจจุบัน), นายเซี่ยะหยุย แซ่อื้อ (โรงงานไทยมิตร), นายซิวกิม แซ่กว๊อก (โรงงานกฎชาญเจริญ) และนายซือเมน แซ่เทน (โรงงานเจริญเมือง) ได้ร่วมกันก่อตั้งโรงงานผลิตเครื่องปั้นดินเผาแห่งแรกในลำปาง ชื่อ “โรงงานร่วมสามัคคี” โดยผลิตชามตราไก่ขนาด 6 และ 7 นิ้ว รวมถึงถ้วยยี่ไฮ้ เพื่อรองรับความต้องการในท้องถิ่นและทั่วประเทศ ในช่วงปี พ.ศ. 2502-2505 อุตสาหกรรมชามตราไก่ในลำปางเริ่มเติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อมีการค้นพบแหล่งดินขาวคุณภาพสูงในอำเภอแจ้ห่ม ส่งผลให้โรงงานผลิตชามตราไก่เกิดขึ้นหลายแห่ง และจังหวัดลำปางกลายเป็นแหล่งผลิตชามไก่ที่สำคัญที่สุดในประเทศไทย การพัฒนาคุณภาพและเทคโนโลยี เมื่อถึงปี พ.ศ. 2516 ชาวลำปางได้ร่วมกันก่อตั้งชมรมเครื่องปั้นดินเผาลำปาง เพื่อยกระดับคุณภาพสินค้าและป้องกันการตัดราคากันเอง มีการปรับปรุงกระบวนการผลิต เช่น เปลี่ยนจากการใช้ไม้ฟืนเป็นแก๊สแอลพีจี และปรับเทคนิคการวาดลวดลายบนชามไก่ โดยใช้สีใต้เคลือบเพื่อความทนทาน […]

“ลายน้ำไหล” ศิลปะผืนผ้าจากชาวไทลื้อ สู่เอกลักษณ์แห่งน่าน

จังหวัดน่าน โดดเด่นด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของชาวพื้นเมือง หนึ่งในนั้นคือ ผ้าทอลายน้ำไหล ผ้าทอมือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สืบทอดจากชาวไทลื้อ กลุ่มชนที่อพยพจากดินแดนสิบสองปันนา ประเทศจีน มาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2379 โดยมีบ้านหนองบัว บ้านต้นฮ่าง และบ้านดอนมูล อำเภอท่าวังผา เป็นศูนย์กลางของการสืบสานศิลปะการทอผ้าโบราณ ประวัติศาสตร์ลายผ้าน้ำไหล ต้นกำเนิดลายผ้าน้ำไหลย้อนกลับไปถึงวัฒนธรรมของชาวไทลื้อ โดยผ้าทอชนิดนี้เริ่มต้นจากการใช้งานในชีวิตประจำวัน ก่อนจะพัฒนาสู่ลวดลายอันงดงาม มีลักษณะคล้ายกับสายน้ำที่ไหลเป็นเกลียว คล้ายขั้นบันได นับเป็นสัญลักษณ์แห่งความอ่อนช้อยและการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่อง โฮงเจ้าฟองคำ เป็นหนึ่งในแหล่งทอผ้าสำคัญที่พลิกโฉมลายน้ำไหลสู่ความร่วมสมัย ด้วยการสร้างสรรค์ ลายน้ำไหลหยดน้ำ ที่ต้องใช้เวลาทอนานถึง 22 วันต่อผืน ลายนี้โดดเด่นด้วยความละเอียดซับซ้อนและมิติอันสวยงาม เอกลักษณ์และเทคนิคการทอ ลายน้ำไหลสะท้อนถึงภูมิปัญญาดั้งเดิม ด้วยการใช้เทคนิค “การเกาะล้วง” ที่ผสมผสานเส้นด้ายหลากสีเข้าด้วยกัน กี่กระตุกแบบดั้งเดิมและการย้อมสีธรรมชาติ เช่น สีครามจากต้นคราม สีแดงจากครั่ง และสีน้ำตาลจากเปลือกประดู่ ช่วยเสริมให้ลายผ้ามีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร การทอผ้าลายน้ำไหลไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เครื่องนุ่งห่ม ในปัจจุบันยังถูกนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้าน เช่น ผ้าคลุมเตียง และสินค้าหัตถกรรม OTOP แบรนด์ “น่านเน้อเจ้า” และรางวัลระดับนานาชาติ ผลิตภัณฑ์ลายน้ำไหลยังเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ “น่านเน้อเจ้า” ซึ่งเกิดจากการร่วมมือระหว่างชุมชนและองค์การพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) […]

“เวียงลอ” ประวัติศาสตร์ที่เล่าขานผ่านโบราณสถาน

พะเยา – “เวียงลอ” เมืองโบราณอายุกว่า 900 ปี ตั้งอยู่ในเขตอำเภอจุน จังหวัดพะเยา โดดเด่นด้วยประวัติศาสตร์ยาวนานและความสำคัญทางภูมิปัญญา การสร้างระบบชลประทานยุคโบราณที่สะท้อนถึงอัจฉริยภาพของผู้คนในยุคล้านนา ทำให้เวียงลอกลายเป็นแหล่งศึกษาและท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่น่าสนใจในปัจจุบัน ภูมิปัญญาการจัดการน้ำและความสำคัญทางประวัติศาสตร์เวียงลอตั้งอยู่ริมสองฝั่งของแม่น้ำอิง โดยแบ่งเขตเป็นตำบลลอและตำบลหงส์หิน ภายในเขตกำแพงเมืองโบราณแห่งนี้ นักโบราณคดีได้ค้นพบแนวคันดินที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อกั้นลำน้ำ ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนถึงระบบชลประทานขนาดใหญ่ ซึ่งถูกใช้เพื่อควบคุมน้ำหลาก ป้องกันน้ำท่วมพื้นที่เกษตรกรรม รวมถึงศาสนสถานและบ้านเรือน นอกจากนั้น เวียงลอยังเป็นเมืองที่มีโบราณสถานกระจายอยู่มากกว่า 50 แห่ง พบวัดร้าง พระพุทธรูปหินทรายและสำริดจำนวนมาก รวมถึงเศษภาชนะดินเผาที่แสดงอิทธิพลจากวัฒนธรรมหริภุญไชยและล้านนา หลักฐานเหล่านี้ถูกรวบรวมไว้ที่พิพิธภัณฑ์เวียงลอ วัดศรีปิงเมือง ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชนในปัจจุบัน “วัดศรีปิงเมือง” หัวใจของชุมชนเวียงลอวัดศรีปิงเมืองเป็นวัดสำคัญของบ้านลอ มีพระสงฆ์จำพรรษาและศาสนสถานที่สะท้อนศิลปกรรมล้านนา-สุโขทัย เช่น เจดีย์ทรงระฆังขนาดใหญ่และวิหารที่สร้างครอบทับซากเดิม ตามตำนานเล่าว่า ผู้คนมักมาขอพรที่อนุสาวรีย์พญาลอ หากคำอธิษฐานสัมฤทธิ์ผล พวกเขาจะนำไก่ชนมาถวายตามความเชื่อโบราณ เวียงลอในหน้าประวัติศาสตร์ล้านนาเวียงลอปรากฏในศิลาจารึกวัดใหม่ ซึ่งกล่าวถึงการสร้างวัดในปี พ.ศ. 2040 โดยเจ้าหมื่นล่อเทพศรีจุฬา เพื่อถวายพระราชกุศลแก่ราชวงศ์เชียงใหม่ ผังเมืองของเวียงลอเป็นรูปวงกลมล้อมรอบด้วยกำแพงและคูเมืองสองชั้น สันนิษฐานว่าชุมชนนี้มีความสำคัญในฐานะจุดเชื่อมโยงเส้นทางระหว่างเมืองเชียงแสน เชียงของ พะเยา และล้านช้าง ก่อนการก่อตั้งเวียงลอ หลักฐานการขุดค้นทางโบราณคดีชี้ให้เห็นว่าพื้นที่แห่งนี้เคยมีชุมชนอาศัยอยู่ในยุคก่อนประวัติศาสตร์เมื่อราว 1,500-2,000 ปีที่แล้ว บทเรียนจากอดีตที่ยังคงหลงเหลือเวียงลอเป็นมากกว่าเมืองโบราณที่ล้อมรอบด้วยคันดินและโบราณสถาน แต่ยังเป็นแหล่งรวบรวมภูมิปัญญาและวัฒนธรรมของผู้คนในยุคล้านนา […]

“กว๊านพะเยา” จากหนองน้ำ สู่ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ

ย้อนอดีตสู่ต้นกำเนิดของ “กว๊านพะเยา” ทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ และแหล่งน้ำสำคัญของจังหวัดพะเยา ก่อนจะมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังและทรัพยากรน้ำที่สำคัญในปัจจุบัน กว๊านพะเยา ความหมายและกำเนิด คำว่า “กว๊าน” เป็นสำเนียงถิ่นล้านนาที่เพี้ยนมาจากคำว่า “กว้าน” ซึ่งมีความหมายว่า “รวบรวม” ในภาษากลุ่มไทยลาว อีกทั้งยังใช้เรียกศาลากลางบ้าน หอประชุม หรือตำแหน่งขุนนางในอดีต ที่พะเยา “กว๊าน” ใช้หมายถึงหนองน้ำขนาดใหญ่ พบเฉพาะในพื้นที่ล้านนา และมีการเรียก “กว๊านพะเยา” เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของจังหวัดนี้ ในอดีตพื้นที่ของกว๊านพะเยาคือหนองน้ำธรรมชาติในเขตลุ่มน้ำแม่อิง ซึ่งมีลำรางและร่องน้ำไหลเชื่อมถึงกัน หลักฐานจากปี พ.ศ. 2462 ระบุว่า “หนองกว๊าน” เคยแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ “กว๊านหลวง” และ “กว๊านน้อย” โดยมีลำรางเชื่อมถึงกัน บริเวณโดยรอบเป็นป่าไผ่และพื้นที่ลุ่มต่ำ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากหนองธรรมชาติสู่อ่างเก็บน้ำ ก่อนปี พ.ศ. 2484 หนองกว๊านยังเป็นแหล่งน้ำที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาล ฤดูฝนจะมีน้ำท่วมเต็มพื้นที่ แต่ฤดูแล้งน้ำจะเหือดแห้ง จนชาวบ้านต้องขุดบ่อน้ำเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค อย่างไรก็ตาม การขาดแคลนน้ำกลายเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตในเมืองพะเยา เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ในช่วงปี พ.ศ. 2482-2484 ราชการได้ดำเนินการสร้างประตูน้ำและทำนบกั้นน้ำบริเวณลำน้ำแม่อิง ทำให้พื้นที่หนองกว๊านย่อยๆ รวมตัวกันกลายเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ และเปลี่ยนชื่อเป็น “กว๊านพะเยา” น้ำในกว๊านพะเยามาจากการไหลรวมตัวของลำห้วยและลำน้ำจากเทือกเขาผีปันน้ำทางตะวันตกของจังหวัด เช่น ดอยขุนแม่ต๊ำ ดอยหลวง และลำห้วยต่างๆ ทำให้พื้นที่เฉลี่ยของกว๊านพะเยาเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 17-18 ตารางกิโลเมตร หรือมากกว่า 10,000 ไร่ […]

ย้อนรอยประวัติศาสตร์ “ช่องประตูผา” เส้นทางยุทธศาสตร์แห่งล้านนา

ลำปาง “ช่องประตูผา” หนึ่งในเส้นทางธรรมชาติที่สำคัญของภูมิภาคล้านนา ได้รับการขนานนามว่าเป็นประตูสู่ประวัติศาสตร์อันยาวนานของชุมชนในแถบลุ่มน้ำวังและล้านนาเหนือ ด้วยบทบาทที่หลากหลายในด้านยุทธศาสตร์ การเดินทาง และการเชื่อมโยงชุมชนมาตั้งแต่อดีตกาล ตั้งอยู่ในเขตภูมิประเทศที่รายล้อมด้วยภูเขาสลับซับซ้อน ช่องประตูผาทำหน้าที่เป็นเส้นทางข้ามเขาที่เชื่อมโยงระหว่างนครลำปางและเมืองงาว สู่พื้นที่แถบพะเยาและเชียงราย ความสำคัญของช่องเขาแห่งนี้สามารถย้อนไปได้ถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งหลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่าชุมชนในอดีตใช้เส้นทางนี้เป็นช่องทางติดต่อและแลกเปลี่ยนทรัพยากรระหว่างชุมชน จากเส้นทางธรรมชาติสู่ยุทธศาสตร์ล้านนาในยุคที่อาณาจักรล้านนารุ่งเรือง ช่องประตูผาทำหน้าที่เป็นทั้งเส้นทางการค้าขายและการเดินทัพของกองกำลังในสงคราม ระหว่างศตวรรษที่ 16-18 เส้นทางนี้เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายคมนาคมที่เชื่อมโยงระหว่างเมืองสำคัญ เช่น เชียงใหม่ ลำปาง และเชียงแสน บันทึกจากพงศาวดารล้านนาระบุว่า ช่องประตูผาถูกใช้เป็นเส้นทางหลักในการเคลื่อนพลในช่วงที่กองทัพล้านนาปะทะกับพม่า บทบาททางยุทธศาสตร์ดังกล่าวทำให้ช่องเขาแห่งนี้มีความสำคัญต่อความมั่นคงของแคว้นล้านนาในยุคนั้น ยุคกรุงรัตนโกสินทร์และการเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบันในสมัยรัตนโกสินทร์ ช่องประตูผายังคงเป็นเส้นทางหลักในการเดินทางระหว่างภาคเหนือและภาคกลาง โดยเฉพาะในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา กองทัพญี่ปุ่นได้ใช้ช่องเขานี้ในการขนส่งกำลังพลและเสบียงไปยังพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำโขง ปัจจุบัน ช่องประตูผาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของถนนพหลโยธิน (ทางหลวงหมายเลข 1) ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญสำหรับการขนส่งสินค้าและการเดินทางในภาคเหนือ อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และธรรมชาติ โดยมีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นความงามของภูมิประเทศโดยรอบ นักท่องเที่ยวยังสามารถสัมผัสเรื่องราวในอดีตผ่านศาลเจ้าพ่อประตูผา ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นจุดศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองผู้เดินทาง อนุรักษ์อดีตเพื่ออนาคตช่องประตูผาไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ของการเดินทางผ่านกาลเวลา แต่ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และภูมิประเทศที่สอดคล้องกันมาตลอดประวัติศาสตร์ การอนุรักษ์และการศึกษาประวัติศาสตร์ของช่องทางนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน และเปิดโอกาสให้คนรุ่นให ม่ได้เรียนรู้และชื่นชมความสำคัญของพื้นที่ทางประวัติศาสตร์แห่งนี้ “ช่องประตูผา” ไม่ได้เป็นเพียงช่องทางผ่านของผู้คน หากแต่เป็นประตูสู่เรื่องราวแห่งอดีตที่ยังคงหายใจในปัจจุบัน” ที่มา :  https://lek-prapai.org/home/view.php?id=778 ,https://province.mots.go.th/ewtadmin/ewt/lampang/news_view.php?nid=922 รูปภาพจาก : https://province.mots.go.th/ewtadmin/ewt/lampang/news_view.php?nid=922

“ถ้ำแก้วโกมล” ตำนานผลึกแคลไซต์แห่งความงาม หนึ่งในสามของโลก

ถ้ำแก้วโกมล หรือเดิมที่รู้จักในชื่อ ถ้ำผลึกแคลไซต์แม่ลาน้อย คือสมบัติทางธรรมชาติที่ตั้งอยู่ในพื้นที่วนอุทยานถ้ำแก้วโกมล ตำบลแม่ลาน้อย อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ถ้ำแห่งนี้ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณค่าทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ระดับโลก เนื่องจากเป็นหนึ่งในถ้ำผลึกแคลไซต์เพียงสามแห่งที่ค้นพบทั่วโลก ได้แก่ใน ประเทศจีน ออสเตรเลีย และประเทศไทย การค้นพบที่น่าทึ่ง ถ้ำแก้วโกมลถูกค้นพบโดยวิศวกรเหมืองแร่จากสำนักงานทรัพยากรธรณี จังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2536 ขณะปฏิบัติหน้าที่สำรวจเหมืองแร่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ยวมฝั่งซ้าย ซึ่งในอดีตบริเวณนี้เคยเป็นพื้นที่ประทานบัตรเหมืองแร่ฟลูออไรต์ของบริษัทเอกชน ถ้ำนี้เต็มไปด้วยผลึกแคลไซต์ที่มีความงดงามและหายาก ลักษณะของผลึกมีรูปทรงหลากหลาย เช่น หกเหลี่ยมยอดแหลม สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน และเกล็ดน้ำแข็ง สะท้อนถึงความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอย่างแท้จริง การพัฒนาสู่แหล่งท่องเที่ยวระดับโลก หลังการค้นพบ กรมทรัพยากรธรณีได้ดำเนินการพัฒนาถ้ำแก้วโกมลเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยมีการปรับปรุงทางเข้าถ้ำด้วยการขยายปากถ้ำ ติดตั้งระบบระบายอากาศและแสงสว่างที่กลมกลืนกับธรรมชาติ ต่อมาในปี 2539 กรมป่าไม้ได้ประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นวนอุทยาน และในปี 2563 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ออกประกาศกำหนดพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ยวมฝั่งซ้ายครอบคลุมถ้ำแก้วโกมล มีเนื้อที่รวม 214 ไร่ พระราชทานนาม “ถ้ำแก้วโกมล“ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2544 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จทอดพระเนตรถ้ำแห่งนี้ และทรงพระราชทานนามใหม่ว่า “ถ้ำแก้วโกมล” […]

“เรื่องเล่าผ่านห่วงคอ ความงามที่เล่าขานของกะเหรี่ยงคอยาว”

ชนเผ่ากะเหรี่ยงคอยาว หรือ “กะยัน” เป็นชนกลุ่มย่อยของกะเหรี่ยงแดง หรือที่เรียกกันว่า “ปาดอง” พวกเขาเคยอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทของพม่า แต่ด้วยปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและการปกครองในระบอบทหาร ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ต้องอพยพหนีภัยสงครามมายังแผ่นดินไทย ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน ความงามและวัฒนธรรมที่คงอยู่เอกลักษณ์สำคัญของหญิงกะยันคือการสวมใส่ ห่วงทองเหลืองรอบคอ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ยังเด็ก หญิงสาวชาวกะยันจะเริ่มสวมใส่ห่วงเมื่ออายุประมาณ 5 ขวบ และเพิ่มความยาวของห่วงเมื่อพวกเธอเติบโตขึ้น ความเชื่อเกี่ยวกับการสวมใส่ห่วงนี้หลากหลาย ทั้งเพื่อแสดงความงาม ความสง่างาม และสถานะในสังคม ตลอดจนเพื่อปกป้องตนเองจากอันตราย เช่น การลักพาตัวหรือการถูกสัตว์ป่าทำร้าย ตำนานยังเล่าว่า หญิงชาวกะยันมีต้นกำเนิดมาจากมังกรเพศเมียที่มีเกราะคุ้มกันรอบคอ ซึ่งถือเป็นมรดกทางสายเลือดที่ส่งต่อมาจนถึงปัจจุบัน ห่วงทองเหลืองเหล่านี้จึงเปรียบเสมือนเครื่องหมายแห่งความผูกพันระหว่างผู้หญิงและตำนานของชนเผ่า น้ำหนักแห่งวัฒนธรรมห่วงทองเหลืองที่สวมใส่ไม่ใช่เพียงเครื่องประดับ แต่ยังสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของผู้หญิงในชนเผ่า น้ำหนักรวมของห่วงที่คอ แขน และขา อาจสูงถึง 30 กิโลกรัม แม้จะหนักหนา แต่หญิงชาวกะยันยังคงยึดมั่นในวัฒนธรรมนี้ เพราะมันไม่ใช่แค่เครื่องประดับ แต่เป็นเครื่องยืนยันถึงตัวตนและรากเหง้า ความงามที่เปลี่ยนมุมมองเมื่อพูดถึงการยืดคอด้วยห่วงทองเหลือง หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าคอของผู้หญิงเหล่านี้ยาวขึ้น แต่ในความเป็นจริง ห่วงไม่ได้ทำให้คอยาวขึ้นโดยตรง แต่จะกดกระดูกไหปลาร้าลง ทำให้คอดูยาวขึ้นโดยอุปาทาน การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงการยอมรับความเจ็บปวดเพื่อรักษาเอกลักษณ์ของวัฒนธรรม หมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาวในแม่ฮ่องสอนหลังจากอพยพมาจากพม่า ชาวกะยันได้ตั้งหมู่บ้านในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งเป็นทั้งที่อยู่อาศัยและแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรมที่สำคัญ ได้แก่ ห้วยปูแกง และ ห้วยเสือเฒ่า ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงท่ามกลางความเป็นสมัยใหม่ในปัจจุบัน […]

ตำนานรักอมตะ “ถ้ำผานางคอย” เสาหินแห่งความหวังกลางขุนเขาแพร่

ถ้ำผานางคอย แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่เต็มไปด้วยความงดงามของหินงอกหินย้อยและตำนานรักอมตะ ตั้งอยู่ในอำเภอร้องกวาง จังหวัดแพร่ เป็นส่วนหนึ่งของภูเขาหินปูนที่ยืนตระหง่านกลางป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์ โดยชื่ออำเภอ “ร้องกวาง” มีที่มาจากเสียงร้องของกวางป่าที่เคยชุกชุมในพื้นที่นี้ แต่เมื่อการเกษตรขยายตัว สัตว์ป่าก็ค่อยๆ ลดน้อยลง เหลือเพียงผืนป่าที่โอบล้อมภูเขาหินปูนและถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยวิจิตรตระการตา ความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติและตำนานรักถ้ำผานางคอยตั้งอยู่บนหน้าผาสูง 50 เมตร ภายในเป็นอุโมงค์ลึก 150 เมตร กว้าง 10 เมตร โค้งเป็นรูปข้อศอกแบ่งออกเป็น 3 ตอน ภายในตกแต่งด้วยไฟเพื่อขับเน้นความงามของหินงอกหินย้อยและประกายระยิบระยับของเกล็ดหินที่ธรรมชาติสรรค์สร้าง จุดเด่นของถ้ำแบ่งออกเป็น 13 จุดชมความงามที่มีชื่อเรียกไพเราะ อาทิ “คูหาสวรรค์วิเศษ” “นาคาสถิต” “ลานรักพระนาง” และไฮไลต์สำคัญคือ “หินนางคอย” ก้อนหินรูปทรงคล้ายหญิงสาวโอบอุ้มลูกน้อย นั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ด้วยรูปลักษณ์ที่น่าทึ่งนี้ ตำนานพื้นบ้านจึงถักทอเรื่องราวแห่งความรักและการรอคอยอันแสนเศร้า เปิดตำนานรักอมตะ “เจ้าหญิงอรัญญาณี“ตามตำนานเล่าว่า เมื่อ 800 ปีก่อน ในอาณาจักรแสนหวี เจ้าหญิงอรัญญาณี พระธิดาผู้เลอโฉม ทรงตกหลุมรักกับคะนองเดช หัวหน้าฝีพายหนุ่มผู้ช่วยชีวิตพระนางจากเรืออับปาง แม้ความรักของทั้งคู่จะงดงาม แต่ก็ต้องเผชิญกับกฎมณเฑียรบาลที่ห้ามความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้น เมื่อความลับถูกเปิดเผย ทั้งสองจึงหลบหนี ถูกทหารติดตามจนเกิดโศกนาฏกรรม ลูกธนูที่หมายชีวิตคะนองเดชกลับพลาดไปถูกเจ้าหญิงแทน เจ้าหญิงซึ่งเพิ่งประสูติพระโอรสในถ้ำแห่งนี้ […]

1 3 4 5 6 7 9