ถูกผีน้อยหลอกจะพาไปทำงานที่เกาหลีใต้ สูญเงินถึงหลักแสน

ชาวบ้านพญาเม็งรายนับ 15 ราย รวมตัวแจ้งความดำเนินคดี หลังถูกผีน้อยหลอกจะพาไปทำงานที่เกาหลีใต้ สูญเงินคนละ 60,000-140,000 บาท

เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 65 ชาวบ้านในพื้นที่ อ.พญาเม็งราย จ.เชียงราย จำนวน 15 คน ได้มารวมตัวกันที่สถานีตำรวจภูธรพญาเม็งราย เพื่อจะแจ้งความต่อ พ.ต.ท.นิคม จุลลศรี สว.(สอบสวน) สภ.พญาเม็งราย เพื่อดำเนินคดีกับผู้ชักชวนไปทำงานในโรงงานรีไซเคิลที่ประเทศเกาหลีใต้ โดยผู้เสียหายให้การว่า พอหลวมตัวโอนเงินค่าดำเนินการต่างๆไปให้ ก็ถูกบ่ายเบี่ยงหลายครั้ง จนแน่ใจว่าถูกหลอก เมื่อผู้เสียหายได้พยายามติดต่อพูดคุยกัน ก็พบว่ามีคนถูกหลอกอีกประมาณ 20 กว่าราย จึงต้องมารวมตัวกันเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ชักชวน เพื่อเรียกร้องเงินคืน เพราะต่างก็ไปกู้หนี้ยืมสินมาจ่ายเพื่อหวังจะไปทำงานต่างแดนหาเงินส่งมาจุนเจือครอบครัว

นายเอ (นามสมมุติ) อายุ 21 ปี เผยกับผู้สื่อข่าวว่า ได้ติดต่อกับคนที่ชักชวนผ่านคนในหมู่บ้านเดียวกัน ตอนแรกเขามาชวนให้ไปทำงานในโรงงานรีไซเคิลทองแดงหรือเหล็กที่ประเทศเกาหลีใต้ จากการพูดคุยสอบถามตนก็เห็นว่าคนชวนพูดจาน่าเชื่อถือ ไปแบบถูกกฏหมาย และคนชักชวนก็ทำงานอยู่ที่เกาหลีใต้อยู่ก่อนแล้ว จึงตกลงว่าจะร่วมเดินทางไปด้วย โดยคนชักชวนจะให้โอนเงินค่าดำเนินการไปให้ ตนก็เลยใช้เงินเก็บส่วนตัวและยืมจากพ่อและแม่มาสมทบ โอนไปให้คนชักชวน 3 รอบคือ รอบแรกเป็นค่ามัดจำ โอนเมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 65 จำนวน 30,000 บาท รอบที่ 2 วันที่ 23 ม.ย. 65 โอนไปให้อีก 20,000 บาท และรอบสุดท้ายคือวันที่ 24 มิ.ย. 65 เป็นค่าเครื่องบิน จำนวน 45,000 บาท รวมเป็นเงิน 95,000 บาท แต่พอปลายเดือน มิ.ย. พวกตนเริ่มทราบข่าวมาว่าทางประเทศเกาหลีใต้เข้มงวดเรื่องการเดินทางเข้าไปทำงาน จึงพยามติดต่อสอบถาม เขาก็ว่าไม่มีปัญหา เขาไม่โกงหรอก ก็ติดต่อพูดคุยกันเรื่อยมา จนเมื่อประมาณ 2-3 วันที่ผ่านมา ตนติดต่อคนชักชวนไม่ได้ แชทไปก็ไม่ตอบ โทรไปก็ไม่รับ พ่อตนจึงลองไปติดต่อสอบถามกับทางพ่อแม่ของคนที่ชักชวนตน แต่ทางนั้นบอกปัดไม่รู้เรื่อง ให้ไปสอบถามกับฝ่ายลูกสาวหรือคนที่ชักชวนเอาเอง เท่าที่ทราบเฉพาะในหมู่บ้านของตนมีผู้ถูกหลอกในลักษณะนี้จำนวน 9 ราย เสียหายรายละ 60,000 บาท มีของตนรายเดียวที่จ่ายรวมค่าเครื่องบินด้วย ยอดจึงเพิ่มเป็น 95,000 บาท

“อยากให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการติดตามตัวคนชักชวนมาดำเนินคดี และเรียกร้องค่าเสียหายคืน เพราะช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี หาเงินก็ลำบาก ค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวก็เยอะมาก” นายเอ กล่าว

ด้าน น.ส.บี อายุ 32 ปี หนึ่งในผู้เสียหาย ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า ตนรู้จักกับคนที่มาชักชวนอยู่ก่อนแล้ว เวลาเขากลับมาจากเกาหลีใต้ก็มักจะชวนไปกินเลี้ยงด้วยตลอด จึงมีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน จนกระทั่งเมื่อประมาณช่วงเดือน พ.ย. 64 ที่ผ่านมา เขาก็ทักมาชักชวนว่าอยากจะไปทำงานที่เกาหลีไหม เพราะที่โรงงานคัดแยกพวกเหล็กและของเก่าของเถ้าแก่ที่เขาทำงานอยู่กำลังขาดคนงาน ถ้าเกาหลีเปิดประเทศเขาจะพาไปทำงาน ไปแบบถูกกฏหมาย เขาจะให้เถ้าแก่เซ็นต์รับรองไปทำงานให้ ก็เลยตกลงว่าจะไป เสียค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่คนละ 115,000 บาท และมีค่าตรวจ K-ETA อีกคนละ 2,900 บาท แต่พอโอนค่าใช้จ่ายไปให้เขาก็เลื่อนมาตลอด จากที่นัดบินรอบแรกเมื่อวันที่ 5 ก.ค. 65 ก็เลื่อนมาเรื่อยๆ เขาอ้างว่าโอนเงินให้เอเจนซี่ไปหมดแล้ว แต่พอเราขอเบอร์โทร ขอรายละเอียดเอเจนซี่ที่เขาอ้าง เขาก็ไม่ยอมให้ ล่าสุดเขาบอกว่าให้ไปเซ็นต์วีซ่าในวันที่ 19 ก.ย. 65 และเตรียมบินในวันที่ 25 ก.ย. 65 แต่พอวันที่ 19 ก.ย. ที่ผ่านมา พวกตนได้เดินทางไปที่สถานทูตฯ เจ้าหน้าที่เขาก็แจ้งมาว่าทางเราไม่มีหนังสือเชิญจากสถานทูตเพื่อมาเซ็นต์รับวีซ่า ก็เลยรู้ว่าถูกหลอกแน่นอน

หลังจากทราบว่าถูกหลอก ก็ได้ติดต่อพูดคุยกับทางคนที่มาชักชวน เขาก็ว่าจะชดใช้ค่าเสียหายให้แต่ก็อ้างเหตุผลหลายอย่าง ทั้งบอกว่าโอนเงินให้เอเจนซี่ไปหมดแล้วบ้าง บัญชี ธ.ไทยพาณิชย์ที่เป็นบัญชีหลัก ใช้การไม่ได้บ้าง ต้องให้ทางบ้านส่งเอกสารมอบอำนาจไปให้ เพื่อเซ็นต์มอบอำนาจและส่งกลับมาให้ทางบ้านเพื่อถอนเงินในบัญชีคืนกลับให้ผู้เสียหายบ้าง เขาพยายามพูดจาบ่ายเบี่ยงมาตลอด ตอนนี้อยากได้เงินที่จ่ายไปคืน เพราะแต่ละคนก็ไปกู้หนี้ยืมสินมา ก็ต้องเอาไปใช้คืนคนที่ไปกู้มา

“รู้สึกเสียใจ เพราะเราตั้งความหวังกับเขาไว้เยอะ คิดว่าเขาจะไม่หลอกเรา แต่เขาบอกว่าเอเจนซี่หลอกเขามาอีกทีหนึ่ง ขอความเห็นใจจากเรา แต่พอเราขอรายละเอียดเอเจนซี่เขาก็ไม่ยอมบอก ถ้าเจรจาขอเงินคืนไม่ได้ก็อยากจะแจ้งความดำเนินคดีกับคนที่ชักชวนให้ถึงที่สุด เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์เราโอนให้เขาทั้งหมด เราไม่ได้โอนให้เอเจนซี่ เราก็ต้องดำเนินคดีกับเขา” น.ส.บี กล่าว

หลังจากแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พญาเม็งราย เสร็จแล้ว ในช่วงบ่ายทางกลุ่มผู้เสียหายทั้งหมดยังได้เดินทางไปที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดเชียงราย เพื่อยื่นร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาความเดือดร้อนดังกล่าว ซึ่งทางสำนักงานจัดหางานก็จะร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับพนักงานสอบสวน หากพบว่าผู้ชักชวนมีความผิดจริงก็จะถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย

กรณีดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดข้ามราชอาณาจักร หากมีการแจ้งความเป็นหลักฐาน จะมีหน่วยงานที่ต้องเข้ามาร่วมสอบสวนหลายหน่วยงาน ทั้งกระทรวงแรงงานที่ต้องเข้ามาแจ้งความและสอบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในข้อหาเกี่ยวกับการจัดหางานโดยผิดกฏหมาย ต้องมีการส่งเรื่องไปให้อัยการสูงสุดร่วมสอบ เพราะผู้กระทำความผิดอยู่นอกราชอาณาจักร ส่วนในประเด็นความผิดฐานฉ้อโกงดังกล่าว หากมีผู้เสียหายเข้ามาร้องเรียนแจ้งความจำนวนมาก ก็อาจจะเข้าข่าย “การฉ้อโกงประชาชน” ด้วย และหากเข้าสู่กระบวนการทางศาล คาดว่าจะใช้เวลาดำเนินคดีไม่ต่ำกว่า 1 ปี ก่อนหน้านี้ทางผู้เสียหายได้พยายามขอไกล่เกลี่ยกับผู้ที่ชักชวนว่าจะยอมจ่ายค่าเสียหายคืนมาได้หรือเปล่า หากผู้ชักชวนไม่ยอมจ่ายเงินคืนให้กับผู้เสียหาย ก็จะต้องเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการแจ้งความดำเนินคดี แต่ทางผู้ชักชวนกลับไม่มีคำตอบที่แน่ชัด และพยายามบ่ายเบี่ยง จึงนำมาสู่การแจ้งความดำเนินคดีในวันนี้

ร่วมแสดงความคิดเห็น