นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรณี คนไทย 27 ราย ยื่นหนังสือร้องเรียน ต่อ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ประธานคณะกรรมาธิการแรงงานวุฒิสภา ขอความช่วยเหลือเนื่องจากถูกหลอกลวงจากนายหน้าจัดหางาน ผ่านทางสื่อโซเชียลมีเดีย อ้างว่าสามารถพาไปทำงานที่ญี่ปุ่น โดยใช้ วีซ่าทักษะเฉพาะทางจนทำให้แรงงานไทยหลงเชื่อสูญเงินค่าบริการจัดหางานไปแล้วรายละ 20,000-70,000 บาท สุดท้ายถูกเลื่อนกำหนดเดินทางไปเรื่อยๆ ทำให้ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก เป็นมูลค่าความเสียหายรวม 5 ล้านบาท และอีกหลายกรณีในการกล่าวอ้าง ชักชวน แรงงานไทยไปทำงานในต่างแดน จนสร้างความเสียหายในหลายๆ พื้นที่

กรณีดังกล่าวทาง นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ได้มอบหมายนโยบายให้กรมฯ สั่งการสำนักจัดหางานทุก
พื้นที่ ดูแลสอดส่อง การโฆษณา ประชาสัมพันธ์ เชิญชวนแรงงานไทยไปหางานต่างประเทศ ทั้งนี้กรมการจัดหางานมีศูนย์ประสานการปราบปรามผู้เป็นภัยต่อคนหางาน กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน ทำหน้าที่ติดตาม เฝ้าระวัง การโฆษณาจัดหางานบนสื่อโซเชียลมีเดียอย่างเข้มงวด หากพบผู้ใดโฆษณาจัดหางาน
โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน ถือว่ามีความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางาน หรือส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ โดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไป ซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุก 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ผู้ใดที่จัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 60,000 บาท-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับผู้ที่สนใจไปทำงานต่างประเทศสามารถศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศที่ตนจะเดินทางไปทำงาน เพื่อป้องกันการหลอกลวงได้ที่เว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมจัดหางาน หรือ สำนักจัดหางานทุกจังหวัดเพื่อตรวจสอบรายชื่อบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาต
หากประสบปัญหาจากการสมัครงานหรือการเดินทางไปทำงานต่างประเทศร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์ประสานการปราบปรามผู้เป็นภัยต่อคนหางาน กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัด ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่




ร่วมแสดงความคิดเห็น