เงินบาทอ่อนทุบสถิติ ไทยขาดดุลการค้าพุ่ง 5.8 แสนล้าน

เงินบาททำสถิติอ่อนค่ามากสุดในรอบ 16 ปี ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขาดดุลการค้าพุ่ง 5.8 แสนล้าน ไทยเสียเปรียบด้านการลงทุนใหม่ จากค่าไฟฟ้าที่ขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย ในขนาดที่เวียดนามอยู่ที่ 2.88 บาทต่อหน่วย ส่งสัญญาณชัดเจนถึงการถดถอยทางเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายของตลาดแรงงาน

สิ้นเดือนตุลาคม ฤดูแห่งการท่องเที่ยงของเชียงใหม่กำลังจะกลับมา ค่าที่พักจะขยับขึ้นสวนทางกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่องหรือไม่ เพราะเวียดนามและลาว รอส้มหล่นหากการท่องเที่ยวในไทยมีค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป

บาทอ่อน เศรษฐกิจไทยขาดดุลการค้าพุ่ง 5.8 แสนล้าน

เงินบาทที่ทำสถิติอ่อนค่ามากสุดในรอบ 16 ปี แตะที่ระดับ 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2565 ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจาก 0.75% เป็น 1.00% ต่อปี เพิ่มขึ้น 0.25% โดยให้เหตุผลเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ที่จริงอีกประเดนที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ เพื่อรักษาช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ และไทยไม่ให้ห่างกันมากจนเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เงินเงินบาทอ่อนค่า

การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อเบรกการไหลลงของการอ่อนค่าของเงินบาทรอบนี้ไม่น่าจะต้านการอ่อนค่าของบาทได้ เพราะดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ที่ 1 % ส่วนสหรัฐฯ อยู่ที่ 3.00-3.25% ถือว่าห่างกันอย่างมาก หากธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปลายปีนี้ไปอยู่ที่ 4% และไทยไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือปรับขึ้นแต่ไม่มากเราอาจจะได้เห็นเงินบาทไปแตะ39-40 บาทต่อดอลลาร์ในปลายปีนี้

อย่างไรก็ตามการที่บาทอ่อนค่าทำให้ ผู้ส่งออก ได้รับอานิสงส์ในรูปแบบกำไรที่เพิ่มขึ้น จากตัวเลขการส่งออกช่วง 8 เดือนแรกในรูปแบบเงินดอลลาร์ พบว่าขยายตัว 11% และในรูปเงินบาทขยายตัว 22% และภาคการท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยแล้ว 5.5 ล้านคน

แต่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ คือ ภาคการนำเข้า ที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบ เชื้อเพลิง สินค้าทุน และสินค้าอุปโภคบริโภคที่ต้องใช้เงินบาท ต่อ ดอลลาร์ที่เพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ ราคาสินค้า ภาวะเงินเฟ้อ และค่าครองชีพของประชาชนที่จะเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป

เศรษฐกิจไทยเสียศูนย์ ขาดดุลการค้าพุ่ง 5.8 แสนล้าน

เดือนสิงหาคมส่งออกเพิ่มขึ้น 7.5% มีมูลค่า 23,632.7 ล้านดอลลาร์ นำเข้า 27,848.1 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 21.2% ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้า เดือนเดียว 4,215.4 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 1.65 แสนล้านบาท เมื่อมองภาพรวม 8 เดือนไทยขาดดุลการค้า 5.83 แสนล้านบาท  

ปัจจัยหลักที่ทำให้ไทยขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งจากบาทอ่อนค่า แม้จะมีผลดีกับภาคส่งออกและท่องเที่ยว แต่เศรษฐกิจไทยกำลังเสียสมดุลการส่งออกและท่องเที่ยวมีรายได้น้อยกว่าการนำเข้าพลังงานและวัตถุดิบ

การที่จะไม่ทำให้เงินบาทอ่อนค่าไปมากกว่านี้ ตัวช่วยที่ไทยสามารถทำได้ คือ ภาคการท่องเที่ยวหลังจากไทยเปิดประเทศทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเฉลี่ย 1 ล้านคนต่อเดือน หากสามารถดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามามากกว่า 2 ล้านคนต่อเดือนได้ จะทำให้ความต้องการแลกเงินเป็นสกุลบาทเพื่อจับจ่ายมากขึ้น จะช่วยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้ระดับหนึ่ง

นอกจากนี้ค่าไฟยังถือว่าอยู่ในราคาสูง คือ 4.72 บาทต่อหน่วย เมื่อเทียบกับเวียดนามที่ตรึงราคาไว้ที่ 2.88 บาทต่อหน่วยไปจนถึงสิ้นปี ทำให้ไทยเสียเปรียบด้านการแข่งขันที่จะดึงนักลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) เมื่อดูจากทิศทางแนวโน้มราคาพลังงานโลกที่จะปรับขึ้นอีกรอบในปลายปีนี้ เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาว ยุโรปขาดแคลนก๊าซและน้ำมัน และจีนเร่งฟื้นเศรษฐกิจ ความต้องการพลังงานเพิ่ม โอกาสค่าไฟฟ้าจะปรับเพิ่มเป็น  5 บาทต่อหน่วยนั้นมีโอกาสสูงอย่างมาก

ค่าไฟฟ้าไทย 4.72 บาทต่อหน่วย เวียดนาม 2.88 บาทต่อหน่วย ไทยเสียเปรียบด้านการลงทุนใหม่

การอ่อนค่าของเงินบาทอาจจะส่งผลดีในระยะสั้นต่อภาคการท่องเที่ยว ในแง่ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาเที่ยวหรือพำนักอยู่ในไทยนานขึ้น และมีแนวโน้มจะใช้จ่ายเงินได้มากขึ้นกว่าเดิม  ส่วนในระยะยาว หากเงินบาทอ่อนค่าลงไปมากกว่านี้ อาจมีส่วนทำให้ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มขึ้น เช่น  ค่าเดินทาง ค่าอาหารและวัตถุดิบ เนื่องจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น แต่จำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามายังประเทศไทยจะมีมากน้อยแค่ไหนนั้น ยังคงต้องประเมินสถานการณ์ก่อน เพราะในภาพรวมเศรษฐกิจภายในของไทยยังชะลอตัว

พื้นที่ท่องเที่ยวหัวเมืองใหญ่เริ่มฟื้นตัวกลับมาคึกคัก 

จากการที่รัฐบาลได้เปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวและยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน น่าจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งขณะนี้โรงแรมในพื้นที่ท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวกลับมา  ธนาคารโลกหรือเวิลด์แบงก์ ได้ปรับประมาณการณ์ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศไทย ปี 2565 จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 2.9% เป็น 3.1% หลังภาคการบริโภค การท่องเที่ยว และการส่งออกฟื้นตัว และยังคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่อัตรา 4.1% ในปี 2566

สอดรับกับคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ชี้ให้เห็นถึงเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามแรงส่งของภาคท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชน ที่ปีนี้จะขยายตัวระดับ 3.3 % และปี 2566 จะขยายตัวที่ระดับ 3.8 % 

การขยายตัวทางเศรษฐกิจดังกล่าว  หากมองอีกด้าน เศรษฐกิจไทยกำลังจะเสียภาวะสมดุล ที่เกิดจากภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น จากราคาพลังงานและค่าครองชีพ สวนทางกับรายได้ที่ทรงตัว รวมถึงนโยบายดอกเบี้ย ที่จะส่งผลต่อสถาบันการเงินให้มีการปรับดอกเบี้ยขึ้นตาม สร้างภาระให้กับกลุ่มเปาะบางต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

อีกทั้ง ค่าไฟฟ้าที่จะปรับขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งปีหน้า คาดว่าจะขึ้นมาอยู่ 5-6 บาทต่อหน่วย บวกกับค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้นมา จะทำให้ไทยมีความสามารถในการแข่งขันลดลง เป็นปัจจัยที่จะทำให้นักลงทุนตัดสินใจย้ายฐานการผลิต หรือเลือกประเทศที่จะตัดสินใจไปลงทุนอย่างเวียดนามที่เป็นประเทศคู่แข่งสำคัญในเวลานี้ เพราะเปรียบเทียบอย่างค่าไฟฟ้ารัฐบาลช่วยอุดหนุนอยู่ก็เก็บเพียง 2.88 บาทต่อหน่วย


การถดถอยทางเศรษฐกิจจะแสดงผลให้เห็นผ่านการใช้จ่ายของตลาดแรงงาน

ในระยะกลางของการถดถอยทางเศรษฐกิจจะแสดงผลไปที่ตลาดแรงงานที่ได้รับผลกระทบผ่านกลไกทางเศรษฐกิจจะเริ่มกระจายไปยังห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยและภาวะอุปสงค์มวลรวมในระบบเศรษฐกิจ

สิ้นเดือนตุลาคม ถือเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูหนาวและฤดูแห่งการท่องเที่ยงของเชียงใหม่ การกลับมาของนักท่องเที่ยว ที่จะมีการจองห้องพักเพื่อการท่องเที่ยวของ ชาวตะวันตก อาทิ อังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน อิตาลี และกลุ่มอาเซียน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม จีน และ คนไทย จะกลับมาตึกคักเหมือนเดิมหรือไม่ ปัจจัยหลัก คือ ค่าที่พักจะขยับขึ้นสวนทางกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่องหรือไม่ หากมีการขยับขึ้น เวียดนามและลาว อาจจะส้มหล่น รับเงินเต็มๆ ในขนาดที่ไทยได้เป็นแค่ ทางผ่านเพื่อเดินทางไปประเทศที่สามก็เท่านั้นเอง

ส่วนในระยะยาวและจุดจบของการถดถอยทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าการหยุดเงินเฟ้อให้เข้าสู่ภาวะที่มีเสถียรภาพด้วยการขึ้นดอกเบี้ย ในการดำเนินการจำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อไม่ให้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลกระทบต่อศักยภาพการเจริญเติบทางเศรษฐกิจ (Potential GDP growth) เพื่อไม่ให้การถดถอยที่ยาวนานจนเกินไป จนทำให้ความสามารถในการแข่งขันไม่อาจจะกลับไปสู่จุดเดิมจะนำมาซึ่งหายนะทางเศรษฐกิจในระยะยาว การเติบโตต่ำ การติดกับดักรายได้ปานกลาง การลดลงของการออม การที่ต้องพึ่งพาต่างประเทศมากขึ้น ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น คุณภาพชีวิตต่ำลง

ความไม่สอดคล้องกันของนโยบายการเงินต่อเป้าหมายเศรษฐกิจของประเทศ สิ่งที่รัฐบาลควรคำนึงถึง ไม่ให้เศรษฐกิจไทยต้องเสียสมดุลไปมากกกว่านี้นั้น รัฐจำเป็นต้องเร่งสร้างเม็ดเงินให้ไหลเข้าประเทศมากขึ้น โดยการชักจูงนักลงทุนและนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ลดต้นทุนไฟฟ้าเพราะถือเป็นต้นทุนหลัก 30-40% ลดการพึ่งสินค้าและวัตถุดิบจากต่างประเทศให้มากที่สุดสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศให้มีความเข้มแข็ง พร้อมทั้งดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ

เรียบเรียงโดย : บ่าวหัวเสือ

ร่วมแสดงความคิดเห็น